วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

หวยมรณะ

 หวยมรณะ

บทที่ 1 ความลับใต้สายฝน

สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักหน่วง เหมือนม่านน้ำที่ไหลบ่าจากฟากฟ้า เสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้อง บรรยากาศโดยรอบช่างวังเวงและน่าสะพรึงกลัว ภายในบ้านไม้หลังเล็กทรุดโทรม ป้าเพ็ญหญิงชราผู้มีชีวิตเรียบง่าย กำลังเผชิญกับความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ

ใบหน้าเหี่ยวย่นของป้าเพ็ญซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองไปที่ประตูบ้าน เสียงเคาะประตูเมื่อครู่ยังคงก้องอยู่ในหู แม้เสียงฝนและฟ้าร้องจะดังกระหน่ำเพียงใด แต่เสียงเคาะประตูเบาๆ นั้นกลับดังชัดเจนราวกับเคาะอยู่ข้างหู

“ใครกัน...มาเคาะประตูตอนนี้” ป้าเพ็ญพึมพำกับตัวเอง มือข้างหนึ่งกำลอตเตอรี่ในมือแน่น

ลอตเตอรี่ใบนั้นไม่ใช่แค่กระดาษธรรมดา แต่มันคือความหวังเดียวของชีวิต มันคือลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง มูลค่าสามสิบล้านบาท! ป้าเพ็ญเก็บงำความลับนี้ไว้กับตัว ไม่แม้แต่จะบอกใคร แม้แต่คนในครอบครัว

ความโลภ ความกลัว ความหวาดระแวง กำลังกัดกินหัวใจของป้าเพ็ญทีละน้อย

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม ป้าเพ็ญสะดุ้งสุดตัว มือที่เย็นเฉียบกำลอตเตอรี่แน่นขึ้น

“ป้าเพ็ญ! เปิดประตูหน่อย!” เสียงชายฉกรรจ์ดังขึ้นจากอีกด้านของประตู

ป้าเพ็ญจำได้ดี เสียงนี้เป็นของสมชาย ลูกน้องคนสนิทของเสี่ยกำพล เสี่ยใหญ่เจ้าของธุรกิจสีเทาในละแวกนั้น

“มาทำไมกันดึกๆดื่นๆ แบบนี้” ป้าเพ็ญพึมพำอย่างหวาดกลัว

ความจริงแล้ว ป้าเพ็ญเคยทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านเสี่ยกำพลมาก่อน แต่ลาออกมาได้ปีกว่าแล้ว สมชายกับพวกมักจะมาหาที่บ้านเป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่ก็มาขอยืมเงิน และไม่เคยคืนแม้แต่บาทเดียว

“ป้าเพ็ญ! รู้ว่าอยู่ข้างใน เปิดประตูเดี๋ยวนี้!” เสียงตะคอกดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงทุบประตูโครมใหญ่

ป้าเพ็ญตัวสั่นเทา ไม่รู้จะทำอย่างไร ในใจคิดแต่เพียงว่าต้องปกป้องลอตเตอรี่ใบนี้ไว้ให้ได้

.................

บทที่ 2 คำสาบานอาฆาต

ป้าเพ็ญตัดสินใจคว้ามีดทำครัว เดินไปที่หน้าต่างอย่างเงียบเชียบ แอบมองลอดช่องเล็กๆ เห็นสมชายยืนอยู่ที่ประตูหน้า ส่วนอีกสองคนยืนคุมเชิงอยู่หน้าต่างทั้งสองด้าน

“พวกมันรู้...พวกมันต้องรู้เรื่องลอตเตอรี่แน่ๆ” ป้าเพ็ญคิดในใจ

ป้าเพ็ญไม่เคยบอกเรื่องลอตเตอรี่กับใคร แต่เมื่อวานตอนไปซื้อของ ป้าเพ็ญเผลอทำลอตเตอรี่หล่น และสมชายก็เป็นคนเก็บได้

“หรือว่า...มันจะวางแผนมาขโมยลอตเตอรี่” ยิ่งคิด หัวใจของป้าเพ็ญก็ยิ่งเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว

เสียงทุบประตูยังคงดังต่อเนื่อง ป้าเพ็ญรู้ดีว่า ต่อให้ล็อคประตูแน่นหนาอย่างไร พวกมันก็ต้องหาทางเข้ามาได้

“ไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง” ป้าเพ็ญตัดสินใจ

ป้าเพ็ญเดินโซซัดโซเซไปที่โต๊ะบูชาเล็กๆ จุดธูปเทียน ยกมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์

“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ลูกชื่อป้าเพ็ญ ขอให้ช่วยคุ้มครองลูกด้วย ขออย่าให้พวกมันทำร้ายลูกเลย” ป้าเพ็ญพนมมือไหว้ น้ำตาไหลอาบแก้ม

“ลูกขอสาบาน...ด้วยชีวิตของลูก ถ้าใครคิดมาขโมยลอตเตอรี่ของลูกไป ขอให้มัน...ตาย...ตาย...ตายอย่างทรมาน!”

ป้าเพ็ญกำลอตเตอรี่ในมือแน่น ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าที่เคยใจดี บัดนี้เต็มไปด้วยความแค้น ความอาฆาต

เสียงฟ้าร้องผ่าเปรี้ยง! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงหายนะ


.....................

บทที่ 2 คำสาบานอาฆาต (ต่อ)

ทันทีที่สิ้นเสียงคำสาบาน ไฟฟ้าในบ้านก็ดับวูบลง ความมืดเข้าปกคลุมไปทั่วทุกมุมห้อง เหลือเพียงแสงสว่างจากเทียนเล่มน้อย กับแสงแปลบปลาบจากฟ้าแลบ ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นไปอีก

ป้าเพ็ญกำมีดแน่น หัวใจเต้นระรัว เสียงทุบประตูดังไม่หยุด ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังพยายามพังกรงขัง

โครม! ในที่สุดประตูบ้านก็พังทลายลง สมชายพร้อมกับลูกน้องอีกสองคน บุกเข้ามาในบ้าน

“อยู่นี่นี่เอง ป้าเพ็ญ” สมชายแสยะยิ้ม ดวงตาเป็นประกายโลภ กวาดมองไปรอบห้อง

“พวกแก...ต้องการอะไร!” ป้าเพ็ญตะโกนถาม พยายามทำเสียงให้หนักแน่น

“อย่ามาตีหน้าซื่อเชียวป้า ฉันรู้ว่าป้าถูกหวย สามสิบล้าน! ส่งมันมาซะดีๆ แล้วจะไว้ชีวิต”

ป้าเพ็ญถอยหลัง จนหลังติดผนัง “ไม่มี ป้าไม่มีอะไรทั้งนั้น ออกไปจากบ้านป้าเดี๋ยวนี้!”

“อย่ามาเล่นลิ้น ฉันเห็นกับตา ตอนที่ป้าทำลอตเตอรี่ตก” สมชายก้าวเข้ามาใกล้

“ไม่จริง ป้าไม่มี” ป้าเพ็ญโกหก ทั้งที่มืออีกข้างกำลอตเตอรี่ไว้แน่น

“ถ้าป้าไม่มี ก็ไม่เป็นไร” สมชายส่งสัญญาณให้ลูกน้อง “ค้น!”

ลูกน้องทั้งสองกระจายกำลังค้นหาทั่วบ้าน พลิกหาทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่พบอะไร

สมชายโมโห เดินปรี่เข้าไปหาป้าเพ็ญ “อยู่ไหน! บอกมาดีๆ ก่อนที่...”

“อย่าเข้ามานะ!” ป้าเพ็ญกรีดร้องสุดเสียง ใช้มีดในมือฟันไปที่แขนของสมชาย

เลือดสีแดงสด พุ่งกระฉูด เปื้อนไปทั่วพื้นบ้าน สมชายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

ป้าเพ็ญได้โอกาส ผลักสมชายออกไปสุดแรง แล้ววิ่งหนีไปทางประตูหลังบ้าน

“อย่าให้มันหนีไปได้! ตามมันมา!” สมชายตะโกนสั่งลูกน้อง

เสียงฝีเท้าวิ่งไล่ล่ากันดังสนั่น ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำ

ป้าเพ็ญวิ่งฝ่าความมืด โดยมีเพียงแสงจากฟ้าแลบ เป็นเครื่องนำทาง แต่ด้วยอายุที่มาก ทำให้วิ่งหนีได้ไม่ไกล

“จับตัวมันไว้!” เสียงสมชายดังขึ้นใกล้ๆ

ป้าเพ็ญหันกลับไปมอง เห็นสมชายและลูกน้องทั้งสอง กำลังวิ่งตามมา ดวงตาของพวกมันแดงก่ำ เปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาต

ป้าเพ็ญหมดหนทาง ได้แต่ยืนกอดลอตเตอรี่ไว้แน่น พร้อมกับหลับตา รอรับชะตากรรม


......................

บทที่ 2 คำสาบานอาฆาต (ต่อ)

สมชายกระโจนเข้าหาป้าเพ็ญ เหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังตะครุบเหยื่อ มือหนารวบแขนเหี่ยวย่นของป้าเพ็ญไว้แน่น

“ปล่อยป้านะ! ไอ้คนใจบาป!” ป้าเพ็ญร้องดิ้น แต่ก็สู้แรงหนุ่มฉกรรจ์อย่างสมชายไม่ได้

“จะเอาอะไร! จะเอาอะไรจากคนแก่ๆ อย่างฉัน!” ป้าเพ็ญร้องถาม น้ำตาไหลอาบแก้ม

“ก็ของๆ ป้านั่นแหละ!” สมชายตะคอกใส่หน้า “ลอตเตอรี่! สามสิบล้าน!”

สมชายพยายามแย่งลอตเตอรี่ในมือป้าเพ็ญ แต่ป้าเพ็ญก็กำไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

“ไม่มีทาง! ไม่มีวัน!” ป้าเพ็ญกัดฟันแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

“ถ้ามึงอยากได้นัก...ก็ต้องฆ่ากูให้ตายก่อน!” ป้าเพ็ญคำราม

“ได้! ถ้ามึงอยากตายนัก! กูก็จะจัดให้!”

สมชายโมโห คว้าท่อนไม้ข้างทาง ฟาดเข้าที่ศีรษะของป้าเพ็ญอย่างแรง

ป้าเพ็ญร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด สติเลือนราง ก่อนที่จะล้มลงสู่พื้น แน่นิ่ง...

สมชายรีบเข้าไปค้นตัวป้าเพ็ญ จนพบลอตเตอรี่ซุกอยู่ในมือที่แข็งเกร็ง

“ได้มาแล้วโว้ย! สามสิบล้าน!” สมชายตะโกนด้วยความสะใจ

ลูกน้องทั้งสองวิ่งเข้ามา มองดูเหตุการณ์ด้วยความตกตะลึง

“นาย...ฆ่าป้าเพ็ญทำไม!”

“เรื่องนั้นช่างมันก่อน! ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน!” สมชายรีบเก็บท่อนไม้เปื้อนเลือด

ทั้งสามรีบวิ่งหายไปในความมืด ทิ้งร่างไร้วิญญาณของป้าเพ็ญไว้เบื้องหลัง ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกกระหน่ำ ราวกับกำลัง оплакивать โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น...

โปรดติดตามตอนต่อไป...


...

...

บทที่ 3 เลือดเย็น

สายฝนยังคงโหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับท้องฟ้ากำลังร่ำไห้ให้กับโศกนาฏกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้น ร่างไร้วิญญาณของป้าเพ็ญนอนแน่นิ่งอยู่กลางสายฝน เลือดสีแดงสดไหลเจิ่งนอง พื้นดินรอบข้างกลายเป็นสีแดงขุ่น

สมชายและลูกน้องทั้งสอง วิ่งฝ่าสายฝน โดยไม่สนใจใยดีกับสิ่งใด ในมือของสมชาย กำลอตเตอรี่เปื้อนเลือดไว้แน่น

“ต้องหนี! หนีก่อนที่ตำรวจจะมา!” สมชายตะโกนบอกลูกน้อง

ทั้งสามคน วิ่งไปตามถนนเส้นมืด มุ่งหน้าไปยังโกดังร้าง ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัว

“นาย...เราฆ่าป้าเพ็ญจริงๆ เหรอ” หนึ่งในลูกน้องเอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“ก็มันขัดขืน!” สมชายตวาด “ถ้ามันยอมดีๆ ก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้!”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่!” สมชายพูดขัด “จำไว้! ห้ามปริปากพูดเรื่องนี้กับใคร แม้แต่คำเดียว! เข้าใจมั้ย!”

ลูกน้องทั้งสองพยักหน้ารับ ด้วยความหวาดกลัว

ภายในโกดังร้าง มืดและอับชื้น มีเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟ ที่ห้อยอยู่กลางห้อง

สมชายกางลอตเตอรี่เปื้อนเลือดออก เพ่งมองตัวเลขด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความโลภ

“สามสิบล้าน...ของๆ ฉันแล้ว” สมชายพึมพำกับตัวเอง

“แล้ว...จะแบ่งกันยังไงดีครับนาย” ลูกน้องคนหนึ่งถาม

“แบ่งอะไร?” สมชายทำเสียงเข้ม

“ก็...เงินสามสิบล้านไงครับ”

“พวกแกจะบ้าเหรอ! เงินจำนวนขนาดนี้ ถ้าเอาไปขึ้นเงินพร้อมกัน มันก็น่าสงสัยสิ! แล้วอีกอย่าง...” สมชายหยุดพูด มองหน้าลูกน้องทั้งสองด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม “...พวกแกคิดว่า ฉันจะแบ่งเงินก้อนโตขนาดนี้ ให้กับคนที่รู้เห็นเรื่องนี้จริงๆ เหรอ”

ลูกน้องทั้งสองหน้าซีดเผือด รู้ตัวทันทีว่า พวกตนกำลังตกอยู่ในอันตราย

“นาย...หมายความว่าไง”

สมชายแสยะยิ้ม เหมือนปีศาจ “พวกแกมันโง่เอง ที่ดันไปเห็นเรื่องไม่ควรเห็น...”

สิ้นเสียง สมชายก็ชักปืนพกในมือ เล็งไปที่ลูกน้องทั้งสอง

ปัง! ปัง!

เสียงปืนดังลั่น สะท้อนไปทั่วโกดัง ร่างของลูกน้องทั้งสอง ล้มลงจมกองเลือด ไร้ซึ่งลมหายใจ...

โปรดติดตามตอนต่อไป...


.....

.....


บทที่ 4 พยานเท็จ

แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดช่องลมของโกดังร้าง ส่องกระทบไปยังร่างไร้วิญญาณสามร่าง นอนจมกองเลือด

สมชาย ในชุดนอนเปื้อนเลือด ยืนมองเหตุการณ์เบื้องหน้า ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับเป็นเรื่องปกติ

“น่าเสียดาย...แต่พวกแกก็โทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเอง” สมชายพึมพำกับตัวเอง

เขาจัดฉากให้เหมือนกับว่า ลูกน้องทั้งสอง ฆ่ากันเองเพราะแย่งเงิน ส่วนตัวเอง แสร้งทำเป็นตกใจ วิ่งหนีออกมา ก่อนที่ตำรวจจะมาถึง

“เรียบร้อย...ไม่มีใคร เชื่อมโยงเรื่องนี้กับฉันได้อีก” สมชายยิ้มอย่างผู้ชนะ

เขาเดินออกจากโกดังร้าง หายไปในแสงแดด โดยทิ้งความลับอันดำมืด ไว้เบื้องหลัง

...

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

ข่าวการพบศพ สามศพ ในโกดังร้าง กลายเป็นข่าวใหญ่ ที่ผู้คนในละแวกนั้น ต่างพูดถึง

แต่สำหรับเสี่ยกำพล ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด กลับทำตัวตามปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“งานนี้ แกทำได้ดีมาก” เสี่ยกำพลเอ่ยชมสมชาย ขณะนั่งจิบไวน์ราคาแพง อยู่ในห้องทำงานหรูหรา

“เล็กน้อยครับนาย” สมชายตอบ ด้วยท่าทางยโส

“แล้วเรื่องพยานล่ะ จัดการเรียบร้อยแล้วนะ”

“เรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีใครปริปาก พูดเรื่องป้าเพ็ญได้อีก”

เสี่ยกำพลพยักหน้าอย่างพอใจ เขาลงทุนจ้างพยานเท็จ ให้การว่า เห็นป้าเพ็ญ ทะเลาะกับชายฉกรรจ์ สองคน ก่อนที่ป้าเพ็ญจะหายตัวไป

“ตำรวจก็โง่ เชื่อคำให้การ ของพวกนั้น โดยไม่ตรวจสอบอะไรเลย” เสี่ยกำพลหัวเราะอย่างเยาะเย้ย

“ก็เงินมันสามารถ ปิดปากคนได้ทุกคนนั่นแหละครับนาย” สมชายเสริม

“จริงของแก” เสี่ยกำพลยกแก้วไวน์ขึ้น “ฉลองความสำเร็จ!”

ทั้งสองคน ชนแก้วกัน ด้วยแววตา ที่เต็มไปด้วยความโลภ และความชั่วร้าย...

โปรดติดตามตอนต่อไป...


.....

.....


บทที่ 5 เงาแค้น

วันเวลาผ่านไป เสี่ยกำพล ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ด้วยเงินสามสิบล้าน ที่ได้มาอย่างสกปรก

เขาซื้อรถหรู บ้านหลังใหญ่ เสื้อผ้าเครื่องประดับราคาแพง ใช้เงินฟุ้งเฟ้อ ราวกับว่า มันไม่มีวันหมดสิ้น

แต่...ความสุข ที่ได้มา จากความทุกข์ ของคนอื่น มักอยู่ได้ไม่นาน...

ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่เสี่ยกำพล กำลังนอนหลับสบาย อยู่บนเตียงนุ่ม ภายในห้องนอนหรูหรา

ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งตื่น เพราะฝันร้าย

ในฝัน...เขาเห็นป้าเพ็ญ ในสภาพ น่าสะพรึงกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ดวงตา จ้องมอง มาที่เขา ด้วยความเคียดแค้น

“เอาลอตเตอรี่ฉันคืนมา...ไอ้คนใจบาป!” เสียงแหบพร่า ของป้าเพ็ญ ดังก้อง ไปทั่วห้อง

เสี่ยกำพล ผวา สะดุ้งเฮือก เหงื่อ เย็นเฉียบ ไหลซึม เต็มตัว

เขาพยายาม ควบคุมสติ บอกกับตัวเองว่า มันเป็นแค่ฝัน

แต่...นับจากคืนนั้นเป็นต้นมา ฝันร้าย ก็กลับมาหลอกหลอนเขา ทุกคืน

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรู้สึก เหมือนมีใคร กำลังจ้องมอง อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร

ความหวาดระแวง เริ่มกัดกิน จิตใจของเขา ทีละน้อย...

โปรดติดตามตอนต่อไป...


.....

.....


บทที่ 6 รอยร้าว

ความสุขสบายที่เสี่ยกำพลเคยได้รับ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดผวา รสชาติของอาหารเลิศรส กลับขมปร่า เสียงเพลงไพเราะ กลับกลายเป็นเสียงน่ารำคาญ แม้แต่ ในห้องนอนหรูหรา เขาก็รู้สึกอึดอัด เหมือนถูก เงาบางอย่าง กำลังจ้องมองอยู่

ธุรกิจที่เคยรุ่งเรือง เริ่มประสบปัญหา ขาดทุน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หุ้นส่วน ที่เคยไว้ใจ ต่างพากัน หักหลัง ฉวยโอกาส โกงเงิน หลบหนีไป

ยิ่งนานวัน ความหวาดกลัว ในใจของเสี่ยกำพล ก็ยิ่งทวีคูณ เขาไม่กล้า ออกไปไหนคนเดียว ต้องจ้างบอดี้การ์ด มาคอยคุ้มกัน ตลอดเวลา

แต่...ดูเหมือนว่า ไม่มีสิ่งใด สามารถ หยุดยั้ง เงาแค้น ที่กำลังคืบคลาน เข้ามา ในชีวิตของเขาได้...

คืนหนึ่ง ขณะที่เสี่ยกำพล นั่งดูทีวี อยู่ภายในห้องนั่งเล่น

ทันใดนั้น ไฟในบ้าน ก็ดับวูบลง ความมืด เข้าปกคลุม ไปทั่วทุกมุมห้อง

“เกิดอะไรขึ้น!” เสี่ยกำพล ร้องถาม ด้วยความตกใจ

“ไฟดับเหรอครับนาย” เสียงบอดี้การ์ด ดังขึ้น ใกล้ๆ

“รีบไปดูสิ! ว่าเกิดอะไรขึ้น!”

บอดี้การ์ด ทั้งสองคน รีบวิ่งไป ที่แผงควบคุมไฟฟ้า

แต่...ทันใดนั้นเอง...

เสียงกรีดร้อง อย่างน่าสยดสยอง ก็ดังขึ้น ก้องไปทั่วบ้าน!

“กรี๊ดดดดดดดด!”

เสี่ยกำพล สะดุ้งสุดตัว ด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น! ใคร!” เขาตะโกนถาม เสียงสั่นเครือ

แต่...ไม่มีเสียงตอบกลับมา มีเพียง ความเงียบงัน น่าขนลุก...

โปรดติดตามตอนต่อไป...


........

........


บทที่ 7 วิญญาณพยาบาท

หัวใจของเสี่ยกำพลเต้นรัวราวกับกลองรบ เขาควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่ความหวาดกลัวทำให้มือไม้สั่นเทา ควานหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ

"ไอ้สมชาย! ไอ้สมศักดิ์! พวกแกอยู่ไหน! " เขาตะโกนเรียกลูกน้อง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองวนเวียนอยู่ในบ้านอันเงียบสงัด

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เดินลาก อย่างช้าๆ ดังมาจากชั้นบน พร้อมกับเสียงหัวเราะ แหบพร่า น่าขนลุก

"หึหึหึ...ได้ยินไหม...เสียงแห่งความแค้น..."

เสี่ยกำพล ขนลุกซู่ เขารู้สึกได้ถึง ความเย็นยะเยือก แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับถูก วิญญาณ บางอย่าง กำลังจ้องมองอยู่

"ป้าเพ็ญ...ใช่แกหรือเปล่า..." เขาพึมพำ เสียงสั่นเครือ

"จำฉันได้แล้วหรือ...ไอ้คนใจบาป!" เสียงนั้น ดังขึ้น ใกล้ๆ ราวกับอยู่ข้างหู

เสี่ยกำพล หันขวับไปมอง แต่ก็ไม่พบใคร

"แกต้องการอะไร! ออกไป! ออกไปจากชีวิตฉันซะ!" เขาตะโกน ด้วยความหวาดกลัว

"หึหึหึ...แกคิดว่า...จะหนีฉันพ้นเหรอ..."

เสียงหัวเราะ แหบพร่า ดังก้องไปทั่วบ้าน อีกครั้ง

ไฟฟ้า กลับมาสว่าง ขึ้นอีกครั้ง แต่...ในชั่วพริบตานั้นเอง เสี่ยกำพล ก็ต้อง เบิกตาโพลง ด้วยความตกใจสุดขีด!

ตรงหน้าเขา...ปรากฏร่าง ของป้าเพ็ญ ในสภาพ น่าสยดสยอง!

ใบหน้า ที่เต็มไปด้วยเลือด ดวงตา เบิกโพลง จ้องมอง มาที่เขา ด้วยความเคียดแค้น มือที่ซีดขาว กำลอตเตอรี่เปื้อนเลือด แน่น...

"ฉัน...มาทวงสัญญา...ไอ้คนทรยศ!"

โปรดติดตามตอนจบ...


......

......


บทที่ 8 บทสรุปแห่งกรรม

เสี่ยกำพลเบิกตากว้าง ภาพตรงหน้าราวกับฉากในฝันร้าย ร่างของป้าเพ็ญที่เขาคิดว่าฝังดินไปแล้ว กลับมายืนอยู่ตรงหน้า ชุ่มโชกไปด้วยเลือด ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความแค้น

“ผะ... ผี!” เสี่ยกำพลผวาล้มลง ก้นกระแทกพื้นอย่างแรง แต่เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด เพราะความกลัว กำลังกัดกินหัวใจจนแทบหยุดเต้น

“ใช่! ฉันคือผี! ผีที่ถูกแก ฆ่าอย่างเลือดเย็น! " เสียงป้าเพ็ญ ดังก้องไปทั่วห้อง ราวกับมาจากขุมนรก

“ปะ... ป้าเพ็ญ...ผม... ผมไม่ได้ตั้งใจ...” เสี่ยกำพลพูดตะกุกตะกัก เสียงสั่นเครือ

“อย่ามาโกหก! แกฆ่าฉัน แย่งชิงลอตเตอรี่ของฉันไป แถมยัง...ฆ่าปิดปากลูกน้องตัวเอง อย่างโหดเหี้ยม!”

วิญญาณป้าเพ็ญ ลอยเข้ามาใกล้ เสี่ยกำพล มือที่ซีดขาว ยื่นมาบีบคอ ของเขาอย่างแรง

“อึก...อ๊อก...” เสี่ยกำพล พยายาม ดิ้นรน แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง

“แกต้องชดใช้! ชดใช้กรรมที่ทำไว้! ”

เสี่ยกำพล รู้สึกหายใจไม่ออก เลือดในตัว เย็นเฉียบ ภาพเบื้องหน้า เริ่มเลือนราง...

...

เช้าวันต่อมา ตำรวจ พบศพ ของเสี่ยกำพล ในห้องนั่งเล่น สภาพศพ นั่งอยู่บนโซฟา ดวงตา เบิกโพลง ใบหน้า ซีดเผือด ลิ้นจุกปาก

จากการชันสูตรศพ ไม่พบร่องรอย การต่อสู้ หรือการถูกทำร้าย แพทย์ ลงความเห็นว่า เสียชีวิต จากหัวใจวายเฉียบพลัน

ข่าวการตายของเสี่ยกำพล แพร่สะพัด ไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีใคร รู้สาเหตุ ที่แท้จริง

บางคน บอกว่า เป็นเวรกรรม ที่เขา ทำไว้กับป้าเพ็ญ

บางคน บอกว่า เขา ถูกวิญญาณ มาเอาชีวิต...

...

บนโต๊ะ ข้างโซฟา มีลอตเตอรี่ยับยู่ยี่ ตกอยู่หนึ่งใบ...

ลอตเตอรี่ที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือด...

...และคราบน้ำตา...

จบบริบูรณ์


ตำนานอาถรรพ์ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว


 


เสียงซึงครวญคร่ำ ลมพัดผ่านลำน้ำโขง
สะพานยาวเหยียด มองไกลสุดขอบฟ้าสองฝั่ง
เล่าขานเรื่องราว ตำนานความหลัง ครั้งสร้างสะพาน
มิตรภาพไทย-ลาว ยามราตรี เสียงร่ำลือ
.
เล่ากันว่า ในคืนเดือนมืด ดึกสงัด
บนสะพานมิตรภาพ ทอดยาวข้ามสายน้ำ
มีเเงาลางๆ ยืนโบกมือเรียก รถราผ่านไป
บางคันจอดรับ แต่กลับไม่พบใคร
.
อาถรรพ์สะพานมิตรภาพไทย-ลาว หรือเพียงเรื่องเล่าขาน
วิญญาณเร่ร่อน หาทางกลับบ้าน ติดค้างกลางสะพาน
หลงทาง ไร้จุดหมาย วกวนในวังวน
แสงไฟสลัว กับเงาเลือนราง ชวนให้หวาดหวั่น
.
บางคนเล่าขาน ได้ยินเสียงร้องครวญคร่ำ
ดังมาแต่ลำน้ำ เสียงโหยหวนชวนใจสั่น
หญิงสาวนุ่งขาว ร่างเปียกปอนบนสะพาน
ตามหาคนรัก ที่พลัดพรากจากกัน
.
อาถรรพ์สะพานมิตรภาพไทย-ลาว หรือเพียงเรื่องเล่าขาน
วิญญาณเร่ร่อน หาทางกลับบ้าน ติดค้างกลางสะพาน
หลงทาง ไร้จุดหมาย วกวนในวังวน
แสงไฟสลัว กับเงาเลือนราง ชวนให้หวาดหวั่น
.
ความจริงหรือมายา เรื่องราวเล่าขานต่อกันมา
สะพานแห่งมิตรภาพ เชื่อมสองฝั่งฝันสองแผ่นดิน
แต่เบื้องหลังตำนาน ยังคงเป็นปริศนา ให้ขวัญผวา
.
อาถรรพ์สะพานมิตรภาพไทย-ลาว หรือเพียงเรื่องเล่าขาน
วิญญาณเร่ร่อน หาทางกลับบ้าน ติดค้างกลางสะพาน
หลงทาง ไร้จุดหมาย วกวนในวังวน
แสงไฟสลัว กับเงาเลือนราง ชวนให้หวาดหวั่น
.
เสียงซึงครวญคร่ำ ลมพัดผ่านสะพาน
ทิ้งไว้เพียงตำนาน เล่าขานชวนขนลุกพรึบพรับ
อาถรรพ์สะพานมิตรภาพไทย-ลาว




วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

การแยกรังของผึ้งโพรง

  


 



ผึ้งงานจะสร้าง เซลล์ที่ใช้เลี้ยงตัวอ่อนที่จะพัฒนาเป็นราชินีใหม่

 ผึ้งงานจะเลี้ยงดูตัวอ่อนราชินีใน ...queen cell

.

 ผึ้งงานที่อายุมากขึ้นจะเริ่มเตรียมตัวที่จะออกจากรัง

ผึ้งงานจะสะสมอาหาร น้ำผึ้ง,  เกสร 

เพื่อเตรียมตัวสำหรับการแยกตัว

.

ผึ้งสำรวจ ะจะออกไปสำรวจ เพื่อค้นหาสถานที่

ที่เหมาะสมสำหรับสร้างรังใหม่

ผึ้งจะสื่อสารกันผ่านการเต้นรำ

และการปล่อยฟีโรโมน 

เพื่อบอกเล่าถึงสถานที่ที่เหมาะสม


การแยกตัว  

ราชินีเก่าพร้อมกับกลุ่มผึ้งงานจำนวนมากจะออกจากรัง

ผึ้งจะบินเป็นกลุ่มใหญ่ไปยังสถานที่ใหม่ที่เลือกไว้ 

ผึ้งจะเริ่มสร้างรังใหม่ที่สถานที่ที่เลือกไว้


ราชินีใหม่จะฟักออกจาก เซลล์ที่ใช้เลี้ยงตัวอ่อน

ที่จะพัฒนาเป็นราชินีใหม่

ผึ้งงานจะเลี้ยงดูราชินีใหม่

รังเดิมจะกลับมาปกติภายใต้การปกครองของราชินีใหม่

....................

ราชินีไข่ลงไป, ไข่ลงไป, ไข่ลงไป

ราชินีไข่ลงไป, เพื่อราชินีใหม่แข็งแรง

ผึ้งงานเตรียมตัว, เตรียมตัว, เตรียมตัว

ผึ้งงานเตรียมตัว, เพื่อฝูงผึ้งจะบิน

สร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมา, เซลล์ใหม่, เซลล์ใหม่

สร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมา, เพื่อราชินีใหม่

ผึ้งสำรวจบินไป, บินไป, บินไป

ผึ้งสำรวจบินไป, หาที่อยู่ใหม่

ฝูงผึ้งบินขึ้นไป, บินขึ้นไป, บินขึ้นไป

ฝูงผึ้งบินขึ้นไป, เป็นก้อนเมฆที่ส่งเสียง

ที่อยู่ใหม่หวานเจี๊ยบ, หวานเจี๊ยบ, หวานเจี๊ยบ

ที่อยู่ใหม่หวานเจี๊ยบ, สร้างรังใหม่

ราชินีเก่านำทาง, นำทาง, นำทาง

ราชินีเก่านำทาง, สู่วันข้างหน้าที่สดใส



 


อีแต๋นคูโบต้า เฮฮา บ้านนา สัญญารัก

 อีแต๋นคูโบต้า เฮฮา บ้านนา สัญญารัก








ตะวันแย้มแสงทองส่อง ทุ่งนาเขียวขจี แสงทองสาดส่องพื้นนา
นกกระจาบส่งเสียงร้อง ลมโชยพัดพลิ้วเบาๆ
พี่ขับอีแต๋นคูโบต้า คู่ใจ คันเก่ง แรงดีไม่มีตก
แวะรับน้องไปนา สาวนาคนงาม โฉม.ยง
.
เสียงเครื่องยนต์คำราม บนทางคันนา ล้อหมุนพาฮักเฮาไป
หัวใจมันเต้นตึ้บๆ สิบอกฮักน้อง ให้มันดังกว่าเสียงแตร
ทุ่งนากว้างใหญ่ เป็นพยานรักของเฮา สองใจเบิ่งแงง
ฮักเฮาสิมั่งคง ดังอีแต๋นคู่ใจ บ่เคยเปลี่ยนผัน
.
แดดร้อนๆ บ่ย่าน บ่หวั่น แดดเผา ผิวคล้ำบ่เคยซีเรียส
ฮักแท้บ่ได้อยู่ที่ผิวพรรณ แต่อยู่ที่ใจเฮาฮักกัน
ฮอดกลางทุ่ง เหงื่อไหลย้อย ยิ้มให้กัน บ่เคยบ่น
สัญญา สิฮักแพง น้องคนงาม จนสิ้นลมหายใจ
.
เสียงเครื่องยนต์คำราม บนทางคันนา ล้อหมุนพาฮักเฮาไป
หัวใจมันเต้นตึ้บๆ สิบอกฮักน้อง ให้มันดังกว่าเสียงแตร
ทุ่งนากว้างใหญ่ เป็นพยานรักของเฮา สองใจเบิ่งแงง
ฮักเฮาสิมั่งคง ดังอีแต๋นคู่ใจ บ่เคยเปลี่ยนผัน
.
อีแต๋นคันนี้ บ่หรีหรา แต่ฮักของเฮา สิพาเฮาไป
สร้างฝัน สร้างครอบครัว ฮักษาฮักเฮา ให้อยู่ยืนนาน
ดังอีแต๋นคู่ใจ บ่เคยเก่า
.
เสียงเครื่องยนต์คำราม บนทางคันนา ล้อหมุนพาฮักเฮาไป
หัวใจมันเต้นตึ้บๆ สิบอกฮักน้อง ให้มันดังกว่าเสียงแตร
ทุ่งนากว้างใหญ่ เป็นพยานรักของเฮา สองใจเบิ่งแงง
ฮักเฮาสิมั่งคง ดังอีแต๋นคู่ใจ บ่เคยเปลี่ยนผัน
.
ฮักเฮา สิอยู่คู่ท้องนา ดังอีแต๋นคูโบต้า ฮู้ฮู้...
.
แดดร้อนๆ บ่ย่าน บ่หวั่น แดดเผา ผิวคล้ำบ่เคยซีเรียส
ฮักแท้บ่ได้อยู่ที่ผิวพรรณ แต่อยู่ที่ใจเฮาฮักกัน
ฮอดกลางทุ่ง เหงื่อไหลย้อย ยิ้มให้กัน บ่เคยบ่น
สัญญา สิฮักแพง น้องคนงาม จนสิ้นลมหายใจ
.
เสียงเครื่องยนต์คำราม บนทางคันนา ล้อหมุนพาฮักเฮาไป
หัวใจมันเต้นตึ้บๆ สิบอกฮักน้อง ให้มันดังกว่าเสียงแตร
ทุ่งนากว้างใหญ่ เป็นพยานรักของเฮา สองใจเบิ่งแงง
ฮักเฮาสิมั่งคง ดังอีแต๋นคู่ใจ บ่เคยเปลี่ยนผัน
.
อีแต๋นคันนี้ บ่หรีหรา แต่ฮักของเฮา สิพาเฮาไป
สร้างฝัน สร้างครอบครัว ฮักษาฮักเฮา ให้อยู่ยืนนาน


จักรยาน คันเก่า






 ลมเย็นๆ พัดผ่านเบาๆ ทุ่งหญ้าเขียวขจี

แสงแดดยามเย็น อ่อนแสง ส่องกระทบใบไม้

พี่ปั่นจักรยานคันเก่า ผ่านมาทางนี้ทุกวัน

แม้เส้นทางจะ  ขรุขระ เป็นลูกรังไม่ราบเรียบ

.

แต่มีเธอนั่งซ้อนท้าย จักรยานคันเก่าก็ดูเหมือนใหม่

หัวใจพี่พองโต แค่มีเธออยู่เคียงข้างกาย

ไม่หวั่นแม้ทางจะไกล ขอเพียงแค่มีเธอร่วมทาง

โลกนี้สดใส แค่เราสอง เคียงข้าง ไม่ห่างกันไป

เสียงหัวเราะ ของเธอ ดังก้อง ในใจ

มือเล็กๆ ของเธอ กอดเอว พี่ไว้

ความสุข เล็กๆ ง่ายๆ ที่หา ได้ ทุกวัน

บนจักรยาน คันเก่า ที่พา เรา ใกล้กัน

.

แต่มีเธอนั่งซ้อนท้าย จักรยานคันเก่าก็ดูเหมือนใหม่

หัวใจพี่พองโต แค่มีเธออยู่เคียงข้างกาย

ไม่หวั่นแม้ทางจะไกล ขอเพียงแค่มีเธอร่วมทาง

โลกนี้สดใส แค่เราสอง เคียงข้าง ไม่ห่างกันไป

.

แม้จักรยาน คันนี้ จะเก่า ไม่สวยหรู

แต่ความรัก ของพี่ ที่มี ต่อเธอ ไม่เคยเก่าเลย

จะดูแล เธออย่างดี ตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง

บนจักรยาน คันเก่า ที่พา เรา ไปด้วยกัน

.

แต่มีเธอนั่งซ้อนท้าย จักรยานคันเก่าก็ดูเหมือนใหม่

หัวใจพี่พองโต แค่มีเธออยู่เคียงข้างกาย

ไม่หวั่นแม้ทางจะไกล ขอเพียงแค่มีเธอร่วมทาง

โลกนี้สดใส แค่เราสอง เคียงข้าง ไม่ห่างกันไป

.

จักรยานคันเก่า กับ ความรัก ของเรา...


นางฟ้าประจำใจ

 




ยามที่ใจเหงา เศร้าสร้อย

คิดถึงเธอ เหมือนดวงดาว

ส่องแสงสว่าง ใจที่มืดมิด

เหมือนนางฟ้า ลอยมาจากฟากฟ้า

.

นางฟ้าประจำใจ นางฟ้าบ้านา

ยิ้มหวานละมุน เหมือนดั่งฝัน

มาเยียวยา ใจที่เจ็บช้ำ

ให้กลับมาสดใส เหมือนเดิม

.

เสียงหัวเราะ เธอน่ารัก

เหมือนนกน้อย ร้องเพลงไพเราะ

ทำให้โลกสดใส มีสีสัน

เหมือนดอกไม้บานสะพรั่ง

.

นางฟ้าประจำใจ นางฟ้าบ้านา

ยิ้มหวานละมุน เหมือนดั่งฝัน

มาเยียวยา ใจที่เจ็บช้ำ

ให้กลับมาสดใส เหมือนเดิม

.

แม้ห่างไกลกัน สักเพียงใด

ความรักของเรา จะไม่จางหาย

เพราะเธอคือดวงใจ ที่ฉันรัก

นางฟ้าประจำใจ

.

นางฟ้าประจำใจ นางฟ้าบ้านา

ยิ้มหวานละมุน เหมือนดั่งฝัน

มาเยียวยา ใจที่เจ็บช้ำ

ให้กลับมาสดใส เหมือนเดิม

.

นางฟ้าบ้านา นางฟ้าของฉัน

จะรักเธอตลอดไป




ทศกัณฐ์ช้ำรัก

  ทศกัณฐ์ช้ำรัก



ทศกัณฐ์ผู้เกรียงไกร อำนาจครอบครอง

แต่หัวใจกลับว่างเปล่า เพราะรักที่ไม่สมหวัง

สิบเศียรสิบชีวิต ยังแพ้ความรัก

ที่เธอไม่เคยหันมามอง


 

ทศกัณฐ์ช้ำรัก น้ำตาไหลอาบศาลา

ความหลังย้อนมา ทำร้ายหัวใจ

สิบดวงตา มองหาเธอยามค่ำ

แต่เธอกลับอยู่ไกล ในฝันที่ห่างไกล


 


อาวุธร้ายกาจ ไม่เคยทำให้หวั่น

แต่คำว่า "ไม่รัก" ทำลายฉันจนสิ้น

จะยึดครองโลกทั้งใบ เพื่อให้เธอมาอยู่ข้างกาย

แต่ความรักไม่ใช่สงคราม ที่ชนะได้ด้วยกำลัง


 

ทศกัณฐ์ช้ำรัก น้ำตาไหลอาบศาลา

ความหลังย้อนมา ทำร้ายหัวใจ

สิบดวงตา มองหาเธอยามค่ำ

แต่เธอกลับอยู่ไกล ในฝันที่ห่างไกล


 



แม้จะแพ้สงคราม แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้

จะลุกขึ้นสู้ เพื่อให้หัวใจหายเจ็บ

จะลืมเธอไป แม้จะยากเย็น

ทศกัณฐ์จะเข้มแข็ง เพื่อวันพรุ่งนี้


 

ทศกัณฐ์ช้ำรัก น้ำตาไหลอาบศาลา

ความหลังย้อนมา ทำร้ายหัวใจ

สิบดวงตา มองหาเธอยามค่ำ

แต่เธอกลับอยู่ไกล ในฝันที่ห่างไกล


 

ทศกัณฐ์ช้ำรัก แต่จะไม่ยอมแพ้

จะลุกขึ้นสู้ เพื่อวันพรุ่งนี้


 

แม้จะแพ้สงคราม แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้

จะลุกขึ้นสู้ เพื่อให้หัวใจหายเจ็บ

จะลืมเธอไป แม้จะยากเย็น

ทศกัณฐ์จะเข้มแข็ง เพื่อวันพรุ่งนี้

 

ทศกัณฐ์ช้ำรัก น้ำตาไหลอาบศาลา

ความหลังย้อนมา ทำร้ายหัวใจ

สิบดวงตา มองหาเธอยามค่ำ

แต่เธอกลับอยู่ไกล ในฝันที่ห่างไกล


 

ทศกัณฐ์ช้ำรัก แต่จะไม่ยอมแพ้

จะลุกขึ้นสู้ เพื่อวันพรุ่งนี้

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

AZURA มรดกมรณะ (แจ่ม อารมณ์ดี)

 นิยายวิทยาศาสตร์แนวรักโรแมนติก ดราม่า ลึกลับ

.
AZURA มรดกมรณะ (แจ่ม อารมณ์ดี)



.
แสงไฟสลัวจากตึกสูงของโรงพยาบาลส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดของราตรี บ่งบอกถึงการต่อสู้ของชีวิตที่ไม่เคยหลับใหล ภายในห้องพักผู้ป่วยรวม กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อ เสียงเครื่องช่วยหายใจดังผสานกับเสียงครวญครางของผู้ป่วย สร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน
หมอธาร ศัลยแพทย์หนุ่มไฟแรง เพิ่งเสร็จสิ้นการผ่าตัดยาวนานกว่า 8 ชั่วโมง เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายทั่วใบหน้าคมคาย แววตาอ่อนล้าแต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น เขาถอดหน้ากากอนามัยออก เผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบาที่มอบให้กับพยาบาลสาวสวย "คนไข้เป็นไงบ้างครับ พยาบาลริตา"
“คนไข้ปลอดภัยแล้วค่ะ ฝีมือคุณหมอเหมือนเดิมเลยนะคะ” ริตา พยาบาลสาวพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม แววตาเป็นประกายที่มองหมอหนุ่มไม่ได้บ่งบอกถึงแค่ความชื่นชมในหน้าที่การงาน
“หน้าที่ครับ ผมขอตัวไปดูคนไข้คนอื่นๆ ก่อนนะครับ” ธารตอบกลับ ก่อนจะขอตัว ปล่อยให้ริตามองตามด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
เบื้องหลังรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่ธารมอบให้กับคนไข้และเพื่อนร่วมงาน มีเพียงความว่างเปล่า ในหัวใจของเขามีเพียงภาพของ "ใยไหม" แฟนสาวที่กำลังนอนรอความตายอยู่ที่ห้องไอซียูชั้นบนสุด เธอป่วยเป็นโรคประหลาดที่แม้แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็วินิจฉัยไม่ได้ ร่างกายของเธอกำลังถูกทำลายอย่างช้าๆ
"หมอทำดีที่สุดแล้ว แต่โรคนี้มันร้ายแรง โอกาสรอดมีน้อยมาก" คำพูดของหมอเจ้าของไข้ดังก้องอยู่ในหัวของธารซ้ำๆ แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้
ธารใช้เวลาหลังเลิกงานทุกวัน แอบเข้าไปในห้องแลปเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในโรงพยาบาล เขาใช้ความรู้ทางการแพทย์ทั้งหมดที่สั่งสมมา เพื่อพัฒนายาที่จะสามารถรักษาใยไหมได้
"ธาร นายพักบ้างเถอะ ทำงานหนักแบบนี้ร่างกายจะแย่เอา" นที เพื่อนสนิทที่คอยช่วยเหลือธารมาตลอดเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง
"ฉันไม่เป็นไรหรอก นที ฉันต้องช่วยใยไหมให้ได้" ธารตอบ สายตามุ่งมั่นอยู่กับขวดทดลองมากมาย
หลายเดือนผ่านไป ในที่สุด ยารักษาโรคลึกลับที่ธารทุ่มเทก็ใกล้สมบูรณ์ แต่ขั้นตอนสุดท้าย คือการทดลองกับมนุษย์ ซึ่งมันอันตรายเกินกว่าที่เขาจะยอมให้ใครรับความเสี่ยงนี้
"ฉันจะทดลองกับตัวเอง" ธารบอกกับนที เสียงหนักแน่น
“นายบ้าไปแล้ว! มันอันตรายเกินไป นายอาจจะตายได้” นทียื่นมือมาคว้าแขนธารไว้แน่น
“แต่ถ้าฉันไม่ทำ ใยไหมก็ต้องตายอยู่ดี”
ธารปัดมือนทีออกเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังเตียง และฉีดยาเข้าร่างกายของตัวเองทันที ความร้อนแล่นพล่านไปทั่วร่าง ทุกอย่างรอบตัวพร่าเลือน ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบไป
เสียงเครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ปลุกให้ธารลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ข้างๆ กันนั้นมีนที และใยไหมที่นั่งมองเขาด้วยความเป็นห่วง
“ธาร! นายฟื้นแล้ว ” ใยไหมโผเข้ากอดธารด้วยความดีใจ
"นายหมดสติไปสามวัน หลังจากฉีดยาเข้าไป” นทีบอก
ธารพยักหน้ารับรู้ สายตายังคงจ้องมองใยไหม ทันใดนั้น เขาก็เห็นภาพร่างกายภายในของเธออย่างชัดเจน ราวกับภาพเอกซเรย์ เขาเห็นความอ่อนแอของอวัยวะ เห็นความเจ็บปวดที่เธอพยายามอดทน
“ธาร… นายเป็นอะไรรึเปล่า” ใยไหมถามด้วยความสงสัย
“ฉัน… ฉันเห็นโรคของเธอ”
นทีและใยไหมต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
พลังพิเศษที่ธารได้รับจากยาที่เขาคิดค้นขึ้นมา ทำให้เขามองเห็นความเจ็บป่วยของผู้คนได้โดยไม่ต้องสัมผัส เขาเห็นโรคร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใน เห็นความเจ็บปวดที่แม้แต่ผู้ป่วยเองก็อธิบายไม่ได้
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของธารก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เขากลายเป็นที่รู้จักในนาม "หมอมือเอก" ผู้รักษาโรคได้อย่างแม่นยำราวกับมีเวทมนตร์ ห้องตรวจของเขาเต็มไปด้วยผู้ป่วยจากทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี ยาจก หรือแม้กระทั่งคนในแวดวงไฮโซ
ทุกคนต่างต้องการโอกาสในการมีชีวิตอยู่ต่อไป และธารก็เป็นเพียงคนเดียวที่มอบโอกาสนั้นให้กับพวกเขาได้ แต่ยิ่งเขามีพลังมากเท่าไร ภาระที่เขารับไว้ก็ยิ่งหนักหนา
เสียงโทรศัพท์จากห้องไอซียูดังขึ้น ดึงธารออกจากภวังค์ เขาเห็นชื่อของ "เด็กหญิงพิณ วัย 7 ปี ป่วยเป็นโรคหัวใจ" ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ตามด้วยเสียงร้อนรนของพยาบาล “คุณหมอคะ! คนไข้หัวใจหยุดเต้น ”
ธารรีบวิ่งไปที่ห้องไอซียูทันที หัวใจของเขาเต้นระรัว เขารู้ดีว่าชีวิตของเด็กน้อยคนนี้อยู่ในกำมือของเขา
"หลบหน่อยครับ!" ธารตะโกนบอกทีมแพทย์และพยาบาลที่กำลังยื้อชีวิตเด็กหญิงพิณอย่างสุดกำลัง
ธารวางมือลงบนหน้าอกเล็กๆ ที่ไร้ซึ่งการตอบสนอง เขามองเห็นหัวใจที่บอบบาง เต้นรวยรินอย่างน่าสงสาร เขาหลับตาลง รวบรวมสมาธิ เพ่งพลังทั้งหมดที่มี
"กลับมาหาหมอนะ หนูพิณ"
เสียงกระซิบแผ่วเบาของธาร ราวกับปาฏิหาริย์ เส้นกราฟชีพจรบนเครื่องวัดสัญญาณชีพที่เคยเป็นเส้นตรง กลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง หัวใจของเด็กหญิงพิณเริ่มเต้นเป็นจังหวะปกติ สร้างความดีใจให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อแม่ของเด็กน้อยที่ยืนมองเหตุการณ์ด้วยความลุ้นระทึก
เสียงขอบคุณจากพ่อแม่ของเด็กหญิงพิณ เสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่หายป่วย คือรางวัลสูงสุดในชีวิตของธาร แม้เส้นทางที่เขาเลือกเดินจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่เขาก็ไม่เคยเสียใจ
เพราะเขาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง และกับใยไหม... ผู้หญิงที่เขารัก





................................
วันเวลาผ่านไป ธารยังคงอุทิศตนเป็น "หมอมือเอก" เยียวยารักษาผู้คนนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงของเขาดังไกลไปทั่วประเทศ คนไข้จากทุกสารทิศหลั่งไหลมาที่โรงพยาบาล หวังเพียงแค่ได้พบกับชายผู้เปรียบเสมือน “เทวดาในร่างมนุษย์” คนนี้สักครั้ง
ท่ามกลางความวุ่นวาย ธารไม่เคยละเลยใยไหม พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ใกล้กับโรงพยาบาล ใยไหมกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ ที่คอยดูแลจัดการตารางงาน และเป็นกำลังใจสำคัญของธารเสมอมา
"ธาร วันนี้มีจดหมายจากเด็กชายภูผา ที่เราช่วยผ่าตัดหัวใจเมื่อเดือนก่อนด้วยล่ะ" ใยไหมพูดด้วยรอยยิ้ม ขณะยื่นซองจดหมายสีฟ้าสดใสให้ธาร
"จริงเหรอ อ่านให้ฟังหน่อยสิ" ธารตอบ ดวงตาเป็นประกายอย่างอารมณ์ดี
ใยไหมหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน เสียงหวานใส เอ่ย từng คำด้วยความตื้นตันใจ "ถึงคุณหมอธาร ผมชื่อภูผาครับ จำผมได้ไหมครับ ผมเป็นเด็กที่คุณหมอช่วยผ่าตัดหัวใจ ตอนนี้ผมหายดีแล้วนะครับ ขอบคุณคุณหมอที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน แล้วโตไปเป็นหมอแบบคุณหมอนะครับ…”
ภายในบ้านหลังเล็กๆ อบอุ่นไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความรักที่ทั้งสองมีให้กัน ราวกับเป็นโลกใบเล็กๆ ที่คอยเติมเต็มความเหนื่อยล้าจากโลกภายนอก
แต่แล้ววันหนึ่ง ความสุขที่แสนเปราะบางก็พังทลายลง เมื่อธารล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน
"ธาร! เกิดอะไรขึ้น" ใยไหมร้องเสียงหลง เมื่อเห็นธารทรุดลงไปกองกับพื้น ใบหน้าซีดเผือด
"ฉัน... ไม่... ไหวแล้ว...” ธารพยายามเอ่ย แต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้ม ที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดให้กับใยไหม
"ไม่นะธาร! นายต้องไม่เป็นอะไร!" ใยไหมร้องไห้ กอดร่างไร้เรี่ยวแรงของธารไว้แน่น
ณ ห้องฉุกเฉิน แพทย์และพยาบาลต่างทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้น แต่ธารกลับรู้สึกตัวลอย มองเห็นทุกอย่างพร่าเลือน
"คุณหมอคะ! ชีพจรคนไข้อ่อนมากค่ะ!" เสียงพยาบาลดังขึ้น
"เตรียมเครื่องกระตุกหัวใจ!"
ท่ามกลางความวุ่นวาย ธารมองเห็นใยไหมที่ยืนร้องไห้อยู่ด้านนอกห้อง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบรัด
"ไม่... ฉันจะทิ้งใยไหมไปแบบนี้ไม่ได้...”
พลังบางอย่างแล่นพล่านไปทั่วร่าง สายตาของธารจับจ้องไปที่เครื่องกระตุกหัวใจที่อยู่ใกล้ๆ
"ขอร้องล่ะ... ช่วยฉันด้วย...”
ราวกับมีปาฏิหาริย์ มือของธารขยับไปสัมผัสกับเครื่องกระตุกหัวใจอย่างช้าๆ พลังลึกลับถูกถ่ายทอดผ่านปลายนิ้ว มุ่งตรงไปยังหัวใจที่บอบช้ำของเขา
เสียงเครื่องวัดชีพจร ที่เคยแผ่วเบา กลับดังขึ้นอีกครั้ง...
............................................

“ชีพจรกลับมาแล้วค่ะ!” เสียงพยาบาลดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มโล่งใจ บรรยากาศในห้องฉุกเฉินที่แสนอึดอัดคลายความตึงเครียดลงในทันที ทุกสายตาจับจ้องไปที่เส้นกราฟบนเครื่องวัดชีพจรที่กลับมาเป็นปกติ ราวกับปาฏิหาริย์
ธารลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ปรากฏชัด เขาเห็นใบหน้าของใยไหมเปื้อนคราบน้ำตาอยู่ไม่ไกล
“ธาร! นายฟื้นแล้ว” ใยไหมโผเข้ากอดธารแน่น เสียงสั่นเทาด้วยความดีใจ
ธารโอบกอดตอบ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเธอ "ฉันไม่เป็นไรแล้ว ใยไหม ไม่ต้องห่วงนะ"
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ธารได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด แต่แพทย์ทุกคนต่างก็งุนงง พวกเขาไม่พบความผิดปกติใดๆ ในร่างกายของเขาเลย
"มันเป็นไปได้ยังไง... " ธารพึมพำกับตัวเอง ขณะทบทวนเหตุการณ์ในห้องฉุกเฉิน ภาพของมือที่ขยับเองโดยอัตโนมัติ พลังลึกลับที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย มันช่างน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
"ธาร... นายคิดว่า... พลังของนาย..." นทีที่เพิ่งมาถึงเอ่ยขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง
ธารพยักหน้ารับ "ฉันคิดว่า พลังของฉันมันพัฒนาขึ้น"
ใช่ ธารมั่นใจแล้วว่า พลังของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่การมองเห็นความเจ็บป่วย แต่มันสามารถรักษา เยียวยา และควบคุมร่างกายของเขาได้ในระดับเซลล์
หลังจากวันนั้น ธารเริ่มฝึกฝนควบคุมพลังของตัวเองอย่างจริงจัง เขาใช้เวลากับการศึกษา ทดลอง และเรียนรู้ขีดจำกัดของพลังที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้นี้
ขณะเดียวกัน ชื่อเสียงของ “หมอมือเอก” ก็ยิ่งทวีคูณ ผู้คนมากมายจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลมายังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งนี้ จนล้นไปถึงลานจอดรถ พวกเขามาพร้อมกับความหวัง และศรัทธาในตัวชายหนุ่มที่ชื่อ “ธาร”
แต่ท่ามกลางแสงสว่าง ย่อมมีเงามืดรุกราน ไม่นาน บริษัทยายักษ์ใหญ่หลายแห่งก็เริ่มให้ความสนใจในตัวของธาร พวกเขาต้องการไขความลับของ "พลังพิเศษ" เพื่อผลประโยชน์มหาศาล
ข้อเสนอมากมายถูกยื่นมาถึงมือ ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง และอำนาจ แต่ธารปฏิเสธทุกอย่าง
"ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ผมทำ เพราะผมอยากช่วยเหลือผู้คน"
คำตอบของธารสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มคนเหล่านั้น พวกเขาจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ใช้เล่ห์กลสกปรก ข่มขู่คุกคาม หวังให้ธารยอมศิโรราบ
“ธาร ระวังตัวด้วยนะ ฉันรู้สึกไม่ดีเลย” ใยไหมพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร ไม่มีใครทำอะไรฉันได้หรอก” ธารโอบกอดใยไหม ปลอบประโลม
แต่แล้ว วันที่ธารหวาดกลัวที่สุดก็มาถึง...
...................................

วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับจะเป็นใจให้กับเหตุการณ์ร้าย ขณะที่ธารกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมกับใยไหม รถตู้สีดำคันใหญ่ก็ขับปาดหน้า บังคับให้รถของพวกเขาต้องหยุดกะทันหัน
กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดดำ พุ่งตัวลงมาจากรถตู้ ใบหน้าแข็งกร้าว ดวงตาแข็งกร้าวราวกับสัตว์ร้าย พวกมันลากตัวธารและใยไหมออกจากรถ ก่อนจะยัดตัวทั้งสองเข้าไปในรถตู้ และขับหายไปในความมืด
“ธาร!” ใยไหมร้องเรียกชื่อธารด้วยความตื่นตระหนก แต่เสียงของเธอถูกกลืนหายไปกับความมืดมิด
ธารพยายามต่อสู้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงของชายฉกรรจ์พวกนั้นได้ เขาถูกมัดมือ ปิดตา และพาตัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
“ปล่อยผมนะ! พวกแกเป็นใคร! ต้องการอะไร!” ธารตะโกนถาม แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ไม่นาน รถตู้ก็หยุดลง ธารถูกพาตัวเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่ง เขาได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงประตูเหล็กกระทบกันดังก้องไปทั่ว สร้างบรรยากาศที่น่าขนลุก
ผ้าที่ปิดตาถูกกระชากออก แสงไฟสว่างจ้า ทำให้ธารต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย ภาพเบื้องหน้าทำให้เขาทั้งตกใจ และหวาดกลัว...
เขากำลังอยู่ในห้องทดลองขนาดใหญ่ เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย วางเรียงรายอยู่ทั่วห้อง ตรงหน้าเขา มีชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทา นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจ ข้างๆ กันนั้น มีใยไหมถูกมัดติดกับเตียง ใบหน้าซีดเผือด
“ยินดีต้อนรับ คุณหมอธาร” ชายวัยกลางคนเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คุณเป็นใคร! ต้องการอะไรจากผม! ปล่อยใยไหมไปซะ!” ธารตวาด
ชายวัยกลางคนหัวเราะในลำคอ “ใจเย็นๆ คุณหมอ ผมแค่อยากให้คุณร่วมงานกับผมเท่านั้นเอง”
“ร่วมงานอะไรของคุณ! ผมไม่—“
“ผมรู้ว่าคุณมีความลับ คุณหมอ ความลับที่สามารถเปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ของโลกนี้ได้” ชายวัยกลางคนพูด พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ “ผมอยากได้ “พลัง” ของคุณ”
“ไม่มีทาง! ผมไม่มีวันเอาพลังของผมไปใช้ในทางที่ผิด!”
“น่าเสียดาย...” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้น ผมก็คงต้องบังคับคุณ โดยใช้ “สิ่งสำคัญ” ของคุณ”
ชายวัยกลางคนหันไปมองใยไหมที่นอนตัวสั่นเทาอยู่บนเตียง ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวสีเขียวเข้มขึ้นมา
“ไม่นะ! อย่าทำอะไรใยไหม!” ธารตะโกน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความโกรธ และหวาดกลัว
..................................

“หยุดนะ! อย่าทำอะไรเธอ!” ธารพุ่งเข้าใส่ชายวัยกลางคนอย่างขาดสติ แต่กลับถูกชายฉกรรจ์สองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เข้าจับตัวไว้แน่น
“อย่าดื้อเลย คุณหมอ” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ก่อนจะหันไปมองใยไหมที่นอนตัวสั่นเทาอยู่บนเตียง “ถ้าไม่อยากให้เธอเป็นอะไร ก็ทำตามที่ฉันบอกซะดีๆ ”
“แกต้องการอะไร!”
“ง่ายมาก... ฉันอยากให้คุณ “ถ่ายทอด” พลังของคุณให้กับฉัน”
ธารเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ไม่มีทาง! ฉันไม่มีวันทำแบบนั้น!”
“คิดให้ดีๆ นะ คุณหมอ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะช่วยชีวิตเธอได้”
ธารมองหน้าใยไหม ดวงตาของเธอฉายแววเว้าวอน และความหวาดกลัว เขาไม่เคยเห็นเธอกลัวอะไรแบบนี้มาก่อน
หัวใจของธารแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เขารู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก
“ได้... ฉันจะทำ... แต่แกต้องสัญญากับฉันก่อนว่าจะปล่อยใยไหมไป” ธารพูด เสียงสั่นเครือ
“ตกลง ฉันสัญญา” ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ธาร! ไม่นะ! อย่าทำแบบนี้นะ!” ใยไหมร้องห้าม น้ำตาไหลอาบแก้ม
ธารมองหน้าใยไหมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก “ไม่ต้องห่วงนะ ใยไหม ฉันจะไม่เป็นไร”
ชายวัยกลางคนสั่งให้ลูกน้องเตรียมอุปกรณ์ พวกมันนำอุปกรณ์ประหลาด ที่เต็มไปด้วยสายไฟ และเข็มฉีดยา มาติดตั้งรอบๆ ตัวของธาร
กระบวนการถ่ายทอดพลัง ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และทรมาน ธารรู้สึกเหมือนร่างกายของเขากำลังถูกเผาไหม้ พลังชีวิตค่อยๆ ถูกดูดออกไปทีละน้อย
“อ๊าาาาา!” ธารกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อดทนหน่อย คุณหมอ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว” ชายวัยกลางคนพูด ด้วยน้ำเสียงสะใจ
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่มีใครรู้ ธารรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า ร่างกายของเขาอ่อนแรง ราวกับจะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ
ในที่สุด กระบวนการที่แสนทรมานก็สิ้นสุดลง ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาได้รับสิ่งที่ต้องการแล้ว
“ขอบใจนะ คุณหมอ ที่มอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับฉัน”
“แล้ว... สัญญา... ของแก...” ธารพยายามเอ่ยถาม แต่ก็ทำได้เพียงกระซิบแผ่วเบา
“สัญญาเหรอ? ฮ่าๆๆๆ แกมันช่างไร้เดียงสาจริงๆ” ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างเหยียดหยัน
“แก! อย่าทำอะไรใยไหมนะ!” ธารพยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ฆ่าเธอหรอก เธอจะมีประโยชน์กับฉัน ในฐานะ “หนูทดลอง” ไงล่ะ”
สิ้นเสียง ชายวัยกลางคนก็หันหลังเดินจากไป พร้อมกับลูกน้อง ทิ้งให้ธารนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นห้องทดลองที่เย็นยะเยือก
“ไม่นะ... ใยไหม...”
.........................................

ธารนอนสลบไม่ได้สติอยู่บนพื้นห้องทดลองที่เย็นเยียบนานเท่าใดไม่มีใครรู้ รู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงเล็กๆ ภายในห้องขังแคบๆ
“ใยไหม…” ชื่อของหญิงคนรักหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก
“หมอธาร ฟื้นแล้วเหรอ”
เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูดังขึ้นข้างๆ ธารหันไปมอง พบว่าเป็น “ลุงสมบัติ” ภารโรงวัยชราของโรงพยาบาลที่เขาสนิทด้วย
“ลุงสมบัติ! เกิดอะไรขึ้น! ทำไมผมถึงอยู่ที่นี่! แล้วใยไหมล่ะ! ” ธารรัวคำถาม พยายามลุกขึ้นนั่ง แต่กลับรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วร่างกาย
“ใจเย็นๆ หมอ ฟังลุงนะ...” ลุงสมบัตียื่นน้ำเปล่าให้ ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง
หลังจากที่ธารและใยไหมถูกจับตัวไป ลุงสมบัติซึ่งเห็นเหตุการณ์พอดี ก็รีบแจ้งตำรวจ และติดต่อกับ “นที” เพื่อนสนิทของธารทันที
ตำรวจนำกำลังบุกเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็สายเกินไป พวกเขาพบเพียงห้องทดลองที่ว่างเปล่า ไร้ร่องรอยของชายวัยกลางคน และลูกน้อง
“พวกมันวางแผนมาอย่างดี ตำรวจหาหลักฐานอะไรไม่ได้เลย” ลุงสมบัติถอนหายใจ ใบหน้าเศร้าสร้อย
“แล้วใยไหมล่ะ! พวกมันเอาเธอไปไว้ที่ไหน!”
ลุงสมบัติส่ายหน้า “ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ลุงเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่”
แววตาของลุงสมบัติเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “พวกมันต้องการ ‘พลัง’ ของหมอ แสดงว่าหมอยังมีประโยชน์กับมัน และถ้าหมอยังมีประโยชน์ ใยไหมก็ปลอดภัย...”
ธารกำหมัดแน่น ความสิ้นหวังกำลังกัดกินหัวใจ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้
“ผมจะต้องหาใยไหมให้เจอ” ธารพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
“แล้วเราจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะลุง”
ลุงสมบัติหยิบซองจดหมายสีน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อออกมา ยื่นให้ธาร “นี่อาจจะเป็นเบาะแส...”
ธารรับซองจดหมายมาเปิดออก ภายในบรรจุรูปถ่าย และข้อความสั้นๆ
‘อยากเจอคนที่คุณรัก ก็มาหาฉันที่นี่ซะ...’
ภาพถ่ายแสดงให้เห็น อาคารร้าง โทรมๆ กลางหุบเขา
เบื้องล่างของภาพ มีข้อความเขียนด้วยลายมือ บรรจง
‘สถาบันวิจัย AZURA’
....................................

"สถาบันวิจัย AZURA" ธารทวนชื่อสถานที่ปริศนาในภาพถ่าย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
"ที่นั่น...มัน..."
"ใช่ หมอรู้จักที่นี่เหรอ" ลุงสมบัติถามอย่างแปลกใจ
"มันเป็นสถานที่วิจัยต้องห้าม ถูกสั่งปิดไปหลายสิบปีแล้ว มีข่าวลือว่าที่นี่...ทำการทดลองมนุษย์" ธารอธิบาย เสียงสั่นเล็กน้อย
"การทดลองมนุษย์..." ลุงสมบัติพึมพำ ใบหน้าซีดเผือด
ภาพในหัวของธารย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์ เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถาบันวิจัยแห่งนี้ เป็นสถานที่ลับ ที่รัฐบาลให้ทุนสนับสนุน เพื่อทำการทดลองลับสุดยอด เกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพมนุษย์
แต่การทดลองกลับผิดพลาด ก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ นักวิจัยหลายคนเสียชีวิต ผู้ที่รอดชีวิตต่างก็ปิดปากเงียบ ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น
และแล้ว ฝันร้ายจากอดีต กำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง...
"ผมต้องไปช่วยใยไหม" ธารตัดสินใจ แววตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่
"แต่หมอจะไปคนเดียวได้ยังไง ที่นั่นมันอันตราย" ลุงสมบัติคัดค้าน
"ผมไม่รู้ว่าชายคนนั้นต้องการอะไร แต่ที่นั่นมันอันตรายเกินกว่าที่ใยไหมจะอยู่คนเดียวได้ ผมต้องไปช่วยเธอ"
"ถ้าอย่างนั้น ลุงไปด้วย"
"ไม่ได้หรอกลุง ผมไปคนเดียวดีกว่า” ธารปฏิเสธ “ยิ่งคนน้อย ยิ่งเคลื่อนไหวสะดวก ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงใคร"
แม้จะเต็มไปด้วยความกังวล แต่ลุงสมบัติก็รู้ดีว่า ไม่อาจห้ามธารได้
"ลุงจะติดต่อ 'นที' ให้ เขาคงช่วยอะไรหมอได้บ้าง"
"ขอบคุณครับลุง"
ธารรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ เต็มไปด้วยอันตราย แต่เพื่อใยไหม เขายอมแลก แม้แต่ชีวิตของตัวเอง...
...............................

ธารออกเดินทางในคืนนั้นทันที โดยมีเพียงเป้ใบเล็กๆ บรรจุของใช้จำเป็น แผนที่ และรูปถ่ายของใยไหม เขาขับรถมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ตามเส้นทางในแผนที่ มุ่งสู่หุบเขา ที่ซึ่งซ่อนสถาบันวิจัย AZURA เอาไว้
สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าเขาที่รกทึบ ยิ่งเข้าใกล้จุดหมาย สัญญาณโทรศัพท์ก็ยิ่งขาดหาย ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
“ใกล้ถึงแล้วสินะ...” ธารพึมพำกับตัวเอง ขณะจอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะเดินเท้าต่อ
เขาเดินตามเส้นทางลับ ที่ได้มาจากข้อมูลของ ‘นที’ เพื่อนสนิท ที่แอบสืบค้นมาให้ ยิ่งลึกเข้าไปในป่า บรรยากาศก็ยิ่งวังเวง เสียงสัตว์ป่า ดังก้องไปทั่ว แต่กลับสร้างความรู้สึก อึดอัด กดดัน อย่างประหลาด
ในที่สุด ธารก็มาถึงยังกำแพงคอนกรีตสูงใหญ่ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ เบื้องหลังกำแพง คือ อาคารร้าง ทรุดโทรม ตามภาพถ่าย ไม่มีผิด
สถาบันวิจัย AZURA...
ธารปีนข้ามกำแพง เข้าไปด้านใน ความรู้สึกเย็นยะเยือก แล่นไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยความตาย และความสิ้นหวัง
“ใยไหม...” ธารเรียกหาหญิงคนรัก เสียงแผ่วเบา หวังว่าเธอจะได้ยิน
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มีเพียงความเงียบงัน ที่ดังก้องอยู่ในใจ...
ธารตัดสินใจเดินสำรวจ ภายในอาคาร เริ่มจากห้องทดลอง ที่ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้าง เป็นเวลานาน อุปกรณ์ต่างๆ ผุพัง กระจัดกระจาย เอกสารสำคัญ ถูกฉีกทิ้งเกลื่อนกลาด
บนผนังห้อง เต็มไปด้วยรอยขีดเขียน แปลกๆ คล้ายกับเป็นสัญลักษณ์ บางอย่าง ธารเพ่งมอง พยายามหาความหมาย
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึง “พลัง” บางอย่าง ที่คุ้นเคย…
...............................

พลังบางอย่างแผ่ซ่านอยู่ทั่วบริเวณ ราวกับเป็นพลังงาน ที่มองไม่เห็น แต่กลับสัมผัสได้ ธารกำหมัดแน่น พยายามควบคุม ‘สัมผัสพิเศษ’ ที่อยู่ภายในตัว
ภาพเหตุการณ์ในอดีต ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ในหัวของธาร...
เสียงกรีดร้องทรมาน ของผู้คนมากมาย ดังก้องไปทั่วห้องทดลอง ร่างของพวกเขา ถูกพันธนาการไว้กับเตียง สายไฟ และท่อ จำนวนมาก เชื่อมต่อกับร่างกาย ของเหลว สีเขียวเข้ม ถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือด
ภาพชายวัยกลางคน ในชุดกราวน์สีขาว ยืนยิ้มอย่างบ้าคลั่ง อยู่ท่ามกลาง ความโกลาหล
‘พลัง... ฉันจะต้องได้มันมา...’
เสียงเย็นยะเยือก ของชายคนนั้น ราวกับ คำสาป ที่คอยหลอกหลอน ธาร
ภาพเหตุการณ์ เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียง ความรู้สึก หนาวเหน็บ ที่แผ่ซ่าน ไปทั่วร่างกาย
“ที่นี่... มันเกิดเรื่องเลวร้าย ขึ้นมากมาย”
ธารพึมพำ พลางกำ รูปถ่ายของใยไหม แน่นขึ้น
เขาต้องไม่ยอมแพ้...
ธารออกตามหาร่องรอยของใยไหมต่อไป ภายในอาคาร แต่ก็ไร้วี่แวว เขาพบเพียง ห้องขัง ที่เต็มไปด้วย ร่องรอย การต่อสู้ และ คราบเลือด ที่แห้งกรัง
ความหวัง ในใจ เริ่มริบหรี่ ลงทีละน้อย...

................................
ความสิ้นหวังเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของธาร เขาเดินวนไปมาภายในอาคารร้าง แต่ก็ไม่พบร่องรอยของใยไหม หรือแม้แต่เงาของชายวัยกลางคนคนนั้น
“ใยไหม… เธออยู่ที่ไหนกัน…”
เสียงเรียกแผ่วเบา ดังก้องไปทั่วความเงียบ แต่ก็ไม่มีวี่แววของคำตอบ
ทันใดนั้น สายตาของธารก็พลันไปสะดุดกับ ประตูเหล็กหนา ที่อยู่ลึกสุด ภายในห้องโถง มันดูใหม่ และแข็งแรงกว่าประตูบานอื่นๆ ราวกับถูกสร้างขึ้น เพื่อปกปิด สิ่งสำคัญเอาไว้
ธารเดินเข้าไปใกล้ สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง ที่แผ่ออกมาจากเบื้องหลังประตู
“ใยไหม…” ธารพึมพำ หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวัง
เขาเอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตู แต่ก็ต้องชะงัก…
“ถ้าเปิดออกไป แล้วเจอ ‘กับดัก’ ล่ะ?” เสียงของ ‘นที’ ที่เขาเคยเตือนเอาไว้ ดังก้องขึ้นในหัว
แต่... ถ้าไม่เสี่ยง แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร ว่าใยไหมอยู่ หรือไม่อยู่ หลังประตูบานนี้…
“ขอโทษนะนที... แต่ครั้งนี้ ฉันขอทำตามหัวใจตัวเอง”
ธารสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก่อนจะผลักประตู ออกไปอย่างแรง…
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทำให้ธาร ถึงกับ ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง!

.................................

เบื้องหลังประตูเหล็ก ไม่ใช่ห้องขังเย็นเยียบ หรือห้องทดลองที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์น่ากลัวอย่างที่ธารคาดไว้ แต่กลับเป็น...
สวนขนาดย่อม
สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางอาคารร้าง แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากช่องแสงขนาดใหญ่บนเพดาน ต้นไม้เขียวขจี ดอกไม้นานาพันธุ์ บานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอม อบอวลไปทั่วบริเวณ น้ำพุขนาดเล็ก ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางสวน ส่งเสียงน้ำไหล ขับกล่อม อย่างผ่อนคลาย
ราวกับเป็น ‘สวนสวรรค์’ ที่ถูกซ่อน เอาไว้ ใน ‘ขุมนรก’
ธารยืนนิ่ง อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปในสวน ด้วยความระมัดระวัง เขามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบ ใยไหม หรือแม้แต่ ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆ
“ที่นี่มัน... เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?” ธารพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียง ฝีเท้า ดังมาจากด้านหลัง ธารหันกลับไปมอง อย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น
ร่างของชายชรา คนหนึ่ง ค่อยๆ ก้าวออกมาจากเงามืด ใบหน้าของเขา เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา ดวงตา ทอประกาย เปี่ยมไปด้วยปัญญา
“คุณคือ...?” ธารเอ่ยถาม เสียงสั่นเล็กน้อย
ชายชรายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ในที่สุด... ‘ผู้สืบทอด’ ก็มาถึง”

...........................................
"ผู้สืบทอด?" ธารทวนคำพูดของชายชรา ใบหน้าแสดงออกถึงความฉงน
"ใช่แล้ว ผู้สืบทอดพลังแห่ง 'AZURA'" ชายชรา ย้ำ ก่อนจะเดินนำธารไปยังม้านั่งหินอ่อนสีขาวสะอาดตา ใต้ร่มไม้ใหญ่
ธารเดินตามไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม ชายชราแนะนำตัวเองว่าชื่อ “อาจารย์ปรัชญา” เคยเป็นหนึ่งในนักวิจัย ของสถาบัน AZURA แห่งนี้
"แล้ว ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้" ธารถาม สายตามองไปรอบๆ สวนสวย ที่ตัดกับความ ทรุดโทรม ของตัวอาคาร
อาจารย์ปรัชญาถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง...
หลายสิบปีก่อน สถาบัน AZURA ก่อตั้งขึ้นอย่างลับๆ โดยมีเป้าหมาย เพื่อพัฒนาศักยภาพ ของมนุษย์ ให้ก้าวข้ามขีดจำกัด เดิมๆ โดยใช้ เทคโนโลยี และ พลังงาน ลึกลับ ที่พวกเขาค้นพบ
อาจารย์ปรัชญา คือ หนึ่งในผู้ที่ สนับสนุน โครงการนี้ เขาเชื่อมั่นว่า มนุษย์ สามารถ พัฒนา ตนเอง ไปได้อีกขั้น
แต่... ทุกอย่าง กลับ ผิดพลาด...
การทดลอง ทำให้เกิด ผลข้างเคียง ที่ ร้ายแรง ผู้ถูกทดลอง หลายคน กลายเป็น ‘สัตว์ประหลาด’ ที่ ควบคุมตัวเองไม่ได้
“รวมถึง ชายวัยกลางคน ที่จับตัวผมมาด้วยเหรอครับ” ธารถาม
อาจารย์ปรัชญา พยักหน้า “ใช่ เขาคือ ‘อัครา’ อดีต เพื่อนร่วมงานของฉัน และเป็นคนที่ ‘ทะเยอทะยาน’ มากที่สุด... เขาต้องการครอบครอง พลัง ทั้งหมด ของ AZURA ไว้เพียงคนเดียว”
“แล้ว ใยไหมล่ะครับ เธออยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีหรือเปล่า” ธารถามด้วยความเป็นห่วง
“ใจเย็นๆ ธาร” อาจารย์ปรัชญายิ้มบางๆ “ที่จริงแล้ว ‘ใยไหม’ ปลอดภัยดี และ เธอ ก็อยู่ที่นี่...”

....................................
"อยู่ที่นี่เหรอครับ!" ธารผุดลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น "แล้วเธออยู่ไหน ผมอยากเจอเธอเดี๋ยวนี้"
อาจารย์ปรัชญายกมือห้าม รอยยิ้ม อบอุ่น ปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่น "ใจเย็นๆ ธาร ‘ใยไหม’ กำลังรอเธออยู่... ในที่ที่ปลอดภัย"
"ที่ที่ปลอดภัย?"
"ใช่ สถานที่แห่งนั้น ถูกสร้างขึ้น เพื่อปกป้อง 'ผู้ถูกเลือก' จาก 'ภัยคุกคาม' ทุกอย่าง แม้แต่อัครา ก็ไม่อาจเข้าไป ในนั้นได้"
อาจารย์ปรัชญา ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ตามข้ามา ธาร ข้าจะพาเจ้าไปพบ ‘ใยไหม’ และ เรียนรู้ ‘ความจริง’ เกี่ยวกับ 'พลัง' ที่เจ้าได้รับ"
อาจารย์ปรัชญา เดินนำธาร ไปยัง น้ำพุ ใจกลางสวน เบื้องหน้าของพวกเขา ผิวน้ำ เริ่มสั่นไหว เป็นเกลียวคลื่น
แสงสว่าง สีทอง สาดส่อง ออกมาจาก ก้นบึ้ง ของ น้ำพุ ราวกับ ดวงอาทิตย์ กำลัง ลอยขึ้น จาก ใต้พิภพ
"นี่มัน..." ธารเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
"ทางเข้า สู่ 'AZURA' ที่แท้จริง..."
อาจารย์ปรัชญา หันมามองหน้า ธาร ดวงตา ทอประกาย ด้วย ความหวัง
"พร้อมหรือยัง ธาร... ที่ จะ เผชิญหน้า กับ 'พรหมลิขิต' ของเจ้า"

.................................
ธารมองไปยังแสงสว่างที่ส่องประกายอยู่เบื้องหน้า รู้สึกได้ถึงพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่แฝงเร้นอยู่ภายใน ใจหนึ่ง เต็มไปด้วยคำถามและความกังวล แต่อีกใจหนึ่ง กลับรู้สึกตื่นเต้นและรอคอย
“ผมพร้อมแล้วครับ” ธารตอบ เสียงหนักแน่น แววตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่
อาจารย์ปรัชญายิ้มพอใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น "จงก้าวเข้าไปเถิด ธาร 'AZURA' กำลังรอคอยเจ้าอยู่"
ธารสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก้าวเท้าลงไปในแสงสว่าง โดยไม่ลังเล ร่างกายของเขารู้สึกร้อนวาบ ราวกับถูกดูดเข้าไปใน ‘มิติ’ อื่น
ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ปรากฏขึ้น ธารพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถง สีขาว สะอาดตา แปลกตา เพดานสูงเสียดฟ้า ประดับประดาด้วยผลึกแก้ว ที่เปล่งประกายระยิบระยับ เบื้องหน้าของเขา มีหญิงสาว รูปร่างคุ้นเคย ยืนหันหลังอยู่
“ใยไหม…” ธารเอ่ยเรียกชื่อ หญิงคนรัก เสียงสั่นเครือ
หญิงสาวหันกลับมา เผยให้เห็นใบหน้า ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ธาร…”
ทั้งสองโผเข้ากอดกัน แน่น ความรู้สึกคิดถึง และ โล่งใจ หลั่งไหล เข้ามาในหัวใจ
“ใยไหม เธอปลอดภัยดีใช่ไหม เขาไม่ได้ทำอะไรเธอใช่หรือเปล่า” ธารถาม พลางสำรวจ ร่างกาย ของหญิงสาว ด้วยความเป็นห่วง
“ฉันปลอดภัยดี ธาร” ใยไหม ตอบ เสียง สั่นเล็กน้อย “ที่นี่ คือ ‘AZURA’ ที่แท้จริง… มันเป็นสถานที่ ที่ ‘จิตสำนึก’ ของ ‘พลัง’ นี้ สิงสถิตย์ อยู่”
ธารขมวดคิ้ว “จิตสำนึก ของ ‘พลัง’ อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่...” เสียงของอาจารย์ปรัชญาดังขึ้น ท่านเดินออกมาจากเงามืด มุมหนึ่งของห้องโถง “ที่จริงแล้ว ‘AZURA’ ไม่ใช่แค่ ‘พลัง’ แต่มันคือ ‘ชีวิต’ รูปแบบหนึ่ง...”

..............................

"ชีวิต...?" ธารทวนคำพูดของอาจารย์ปรัชญา ใบหน้าฉายแววกังขา
"ใช่ 'AZURA' คือ 'จิตวิญญาณ' ที่ถือกำเนิดขึ้น จาก 'พลังงาน' บริสุทธิ์ ของโลกใบนี้" อาจารย์ปรัชญา อธิบาย
"มันเลือก ที่จะ 'สิงสถิตย์' อยู่ใน สถานที่แห่งนี้ และมอบ 'พลัง' ให้กับมนุษย์ ที่ถูกเลือก เพื่อใช้ในการ 'เยียวยา' โลกใบนี้"
"แล้วทำไม ‘AZURA’ ถึงเลือกผม” ธารถามต่อ
“เพราะ ‘หัวใจ’ ของเจ้าไงล่ะ ธาร” ใยไหม ตอบแทน ดวงตา ของเธอ ทอประกาย อบอุ่น
“'AZURA' สัมผัสได้ถึง 'ความรัก' และ 'ความเสียสละ' ที่เจ้ามีต่อผู้อื่น เจ้าคือ ‘ผู้ถูกเลือก’ ที่คู่ควรกับ ‘พลัง’ นี้”
"แล้ว... ผมควรจะทำยังไงต่อไป" ธาร ถาม รู้สึกถึง 'ภาระอันยิ่งใหญ่' ที่กำลังถาโถมเข้ามา
อาจารย์ปรัชญา ยิ้มอย่าง อบอุ่น “‘AZURA’ จะมอบ ‘พลัง’ ให้เจ้าอย่างเต็มที่ ธาร... เจ้าจะสามารถใช้มัน เพื่อ ‘เยียวยา’ ทั้ง ‘ร่างกาย’ และ ‘จิตใจ’ ของมนุษย์ รวมถึง ขจัด ‘ภัยคุกคาม’ ที่ อัครา ก่อขึ้น ได้”
“แต่… ผมจะเอาชนะ อัคราได้ยังไง ในเมื่อเขา ก็มี ‘พลัง’ ของ 'AZURA' เหมือนกัน”
“พลัง ที่ อัครา ได้ไป เป็นเพียง ‘เศษเสี้ยว’ เท่านั้น ธาร” ใยไหม อธิบาย
“เขาไม่อาจควบคุม ‘พลังที่แท้จริง’ ของ 'AZURA' ได้หรอก”
ธารพยักหน้ารับ แม้จะยัง ไม่มั่นใจนัก แต่ เขาก็ ไม่มีทางเลือกอื่น
เขา ต้อง หยุด อัครา ให้ได้...
เพื่อ ใยไหม...
เพื่อ มนุษยชาติ...
และ เพื่อ... 'AZURA'...

..................................

อาจารย์ปรัชญา พาธารและใยไหมไปยังห้องโถงด้านในสุด ใจกลางห้องมีแท่นหินทรงกลม สลักลวดลายโบราณ ดูลึกลับ เหนือแท่นหิน มี ‘ลูกแก้ว’ สีฟ้าใส ลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งประกาย สว่าง จ้า ราวกับ ดวงดาว
“นั่นคือ ‘แก่นแท้’ ของ ‘AZURA’ ” อาจารย์ปรัชญา อธิบาย
“มันคือ ‘ต้นกำเนิด’ ของ ‘พลัง’ ทั้งหมด”
“ธาร... จงเข้าไป และ รับ ‘พลัง’ จาก ‘AZURA’ เสีย”
ธารมอง ‘ลูกแก้ว’ ด้วยความรู้สึก ตื่นเต้น และ หวาดหวั่น ปะปนกันไป เขารู้ดีว่า นี่คือ ‘จุดเปลี่ยน’ สำคัญ ในชีวิตของเขา
“ผมจะทำได้ ใช่ไหม” ธารหันไปถาม ใยไหม
ใยไหม ยิ้มให้กำลังใจ “เชื่อมั่นในตัวเอง ธาร ‘AZURA’ เลือก นายแล้ว”
ธารพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเท้า อย่าง มั่นคง ไปยัง แท่นหิน
เมื่อยืนอยู่ตรงหน้า ‘ลูกแก้ว’ ธารรู้สึกได้ถึง พลังงานอันยิ่งใหญ่ ที่ แผ่ซ่าน ออกมา ราวกับ ถูกดึงดูด เข้าไปใน วังวน
แสงสว่าง จาก ‘ลูกแก้ว’ สาดส่อง เข้าปกคลุมร่างของธาร เขารู้สึกได้ถึง ความอบอุ่น ความแข็งแกร่ง และ ความสงบสุข ไหลเวียน ไปทั่วร่างกาย
ภาพความทรงจำ มากมาย ผุดขึ้น ในหัวของธาร เขาเห็น อดีต ของ ‘AZURA’ เห็น ความหวัง และ ความผิดพลาด เห็น ความพยายาม และ การเสียสละ
เขา เข้าใจแล้วว่า...
‘พลัง’ ที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่ใช้ เพื่อ ความทะเยอทะยาน แต่คือ ‘ความรัก’ ‘ความเสียสละ’ และ ‘ความปรารถนาดี’ ที่ มีต่อ เพื่อนมนุษย์
“ข้า... พร้อมแล้ว” ธาร เอ่ย ขึ้น เสียงก้องกังวาน ไปทั่ว ห้องโถง
แสงสว่าง เปล่งประกาย เจิดจ้า ขึ้น อีกครั้ง...
บัดนี้... ธาร ไม่ใช่แค่ ‘หมอ’ ธรรมดาอีกต่อไป
แต่คือ... ‘ผู้สืบทอด’ ‘พลังแห่ง AZURA’ อย่างแท้จริง!
...................................
แสงสว่างค่อยๆ จางหายไป ธารลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่กลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง ภายในร่างกาย มีพลังงานอันบริสุทธิ์ ไหลเวียนอยู่ทุกอณู
เขารู้สึก ‘เชื่อมโยง’ กับ ‘AZURA’ อย่างประหลาด ราวกับว่า พวกเขา คือ ‘หนึ่งเดียว’ กัน
“ธาร…” ใยไหม เอ่ยเรียก ด้วยความรู้สึก ตื้นตันใจ
ธารหันไปยิ้มให้ หญิงคนรัก ดวงตา ของเขา เปล่งประกาย ด้วย ‘พลัง’ ที่ แข็งแกร่ง กว่าเดิม
“ฉันสัมผัสได้… 'AZURA' เลือก นาย ได้ถูกคนแล้ว” อาจารย์ปรัชญา กล่าว ด้วย รอยยิ้ม
“ตอนนี้ เจ้าคือ ‘ความหวังเดียว’ ที่จะ หยุดยั้ง อัครา และ นำพา ‘AZURA’ กลับคืนสู่ ‘สมดุล’ อีกครั้ง”
ธารพยักหน้ารับ อย่างมุ่งมั่น “ผมจะทำ ทุกวิถีทาง เพื่อหยุดยั้ง อัครา และปกป้อง ‘AZURA’ ”
“แล้วเราจะตามหา อัครา ได้ที่ไหนครับ” ธาร ถาม
“เขาต้องหาทาง เข้ามาที่ ‘AZURA’ อีกครั้งแน่ เพื่อ ชิงเอา ‘พลัง’ ที่แท้จริง ไป” อาจารย์ปรัชญา อธิบาย
“เราต้อง ‘ล่อ’ ให้เขา ปรากฏตัวออกมา”
“ต้องทำยังไงบ้างครับ” ธาร ถามอย่าง กระตือรือร้น พร้อมที่จะ เผชิญหน้า กับ ศัตรู
อาจารย์ปรัชญา เดินนำธารและ ใยไหม ไปยัง กำแพง ด้านหนึ่ง ของ ห้องโถง
“‘AZURA’ มิได้มีเพียง ‘พลังแห่งการเยียวยา’...”
ท่าน เอ่ย พร้อมกับ วางมือ ลงบนผนัง
ทันใดนั้น กำแพง ก็ สั่นสะเทือน ภาพ เหตุการณ์ ต่างๆ ปรากฏขึ้น บนผนังหิน ราวกับ เป็น ‘หน้าจอ’ ขนาดยักษ์
“แต่ ยังสามารถ ‘เปิดเผย’ ‘ความลับ’ ที่ ถูกซ่อนอยู่...”

..................................
ภาพที่ปรากฏบนกำแพง คือภาพเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ทั่วทุกมุมโลก
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคระบาดร้ายแรง สงคราม และความขัดแย้ง ที่ กำลัง ทำลายล้าง มนุษยชาติ
“นี่มัน...” ธาร เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“‘AZURA’ มิได้เพียงแค่ ‘เยียวยา’ ร่างกาย...” อาจารย์ปรัชญา กล่าว น้ำเสียง หนักแน่น
“แต่ยัง ‘รับรู้’ ถึง ‘ความเจ็บปวด’ ของ ‘โลกใบนี้’...”
ภาพบนกำแพง เปลี่ยนไป กลายเป็นภาพของ ‘อัครา’ ที่กำลัง รวบรวม กำลังพล เตรียมตัว เพื่อ ‘ครอบครอง’ ‘AZURA’
“อัครา ต้องการใช้ ‘พลัง’ ของ ‘AZURA’ เพื่อ ‘ควบคุม’ โลกใบนี้” ใยไหม กล่าวเสริม
“เขาคิดว่า ตัวเอง คือ ผู้ที่ ‘คู่ควร’ ที่จะ ‘กำหนดชะตากรรม’ ของมนุษย์”
“เขา คิดผิดแล้ว!” ธาร กำหมัดแน่น แววตา ลุกโชน ด้วย ความมุ่งมั่น
“ผมจะไม่มีวันยอมให้ อัครา ทำแบบนั้นเด็ดขาด!”
“แล้วเราจะหยุดเขาได้ยังไง” ใยไหม เอ่ยถาม ด้วยความ กังวล
ธาร หันไปสบตา หญิงคนรัก ก่อนจะ ยิ้มมั่นใจ
“‘AZURA’ บอกผมแล้ว...”
ธาร ยกมือขึ้น สัมผัสกับ ‘ลูกแก้ว’ ที่ เปล่งประกาย อยู่ กลางห้อง
“ถึงเวลาแล้ว... ที่เรา จะ ‘เปิดเผย’ ‘พลังที่แท้จริง’ ของ ‘AZURA’ ให้โลกรู้!”
.....................................
ธารหลับตาลง เพ่งสมาธิ เชื่อมต่อจิตใจกับ ‘AZURA’ พลังอันบริสุทธิ์ ไหลเวียน ไปทั่วร่างกาย
แสงสว่างสีฟ้า แผ่กระจาย ออกจากร่าง ของธาร ส่องสว่างไปทั่วทั้ง ‘AZURA’
กำแพง รอบห้องโถง เลือนหายไป เผยให้เห็น ท้องฟ้า และ ผืนป่า เบื้องนอก
พลังของ ‘AZURA’ แผ่ขยายออกไป อย่างรวดเร็ว ทะลุผ่าน กำแพง ของ สถาบันวิจัยร้าง
ต้นไม้ ที่เหี่ยวเฉา กลับเขียวชอุ่ม อีกครั้ง ดอกไม้ ที่ ร่วงโรย ผลิบาน สะพรั่ง
สัตว์ป่า ที่ หวาดกลัว พลังด้านมืด ต่าง ออกมา ชื่นชม ‘พลังแห่งชีวิต’ ที่ แผ่ซ่าน อยู่ ทั่ว หุบเขา
‘AZURA’ กำลัง ‘เยียวยา’ ทุกสรรพสิ่ง
และ ส่ง ‘ข้อความ’ ออกไป...
ทั่วโลก...
ผู้คนมากมาย ที่ กำลัง สิ้นหวัง ต่าง รู้สึกได้ถึง ‘ความอบอุ่น’ ที่ แผ่ซ่าน เข้ามา ใน หัวใจ
ภาพ ‘นิมิต’ ปรากฏขึ้น ใน จิตใจ ของพวกเขา
ภาพ ของ ‘ชายหนุ่ม’ ผู้ เปี่ยม ไปด้วย ‘ความรัก’ และ ‘ความเสียสละ’
‘ผู้สืบทอด’ พลังแห่ง ‘AZURA’...
“เขา... คือ ความหวังเดียวของเรา”
เสียงกระซิบ ดัง ก้องไปทั่วโลก...

................................
พลังของ ‘AZURA’ ที่แผ่ขยายออกไปทั่วโลก ทำให้ อัครา ที่อยู่ ณ ใจกลางเมืองใหญ่ สัมผัสได้ถึง ‘ภัยคุกคาม’
“เป็นไปไม่ได้! ‘AZURA’ กำลัง ‘ตื่นขึ้น’ งั้นเหรอ!”
อัครา ถึงกับ ตื่นตระหนก แผนการ ของเขา ใกล้จะ สำเร็จอยู่แล้ว แต่ กลับ มี สิ่ง ที่ เหนือความคาดหมาย เกิดขึ้น
“ไม่ได้การล่ะ! ข้าต้อง รีบ ‘ช่วงชิง’ ‘AZURA’ มาให้ได้ ก่อนที่ ‘พลัง’ ของมัน จะ ‘ตื่นขึ้น’ อย่างสมบูรณ์!”
อัครา รวบรวม สมุน คู่ใจ มุ่งหน้าไปยัง ‘สถาบันวิจัย AZURA’ ทันที
เขาไม่รู้ว่า กำลัง เผชิญหน้า กับอะไร
แต่ ‘ความทะเยอทะยาน’ บังตา เขา จนหมดสิ้น...
ณ ‘AZURA’...
ธารลืมตาขึ้น มองเห็น ‘แสงสว่าง’ ที่ แผ่ซ่าน อยู่ ทั่ว ทุก หน แห่ง
“สำเร็จแล้ว...” อาจารย์ปรัชญา กล่าว ด้วย รอยยิ้ม
“‘AZURA’ ได้ ‘ตื่นขึ้น’ แล้ว โลกใบนี้... จะ ‘ปลอดภัย’...”
แต่ ทันใดนั้นเอง...
ท้องฟ้า ก็ มืดครึ้มลง กะทันหัน !
พลังงานด้านมืด ปกคลุม ไปทั่วท้องฟ้า เหนือ ‘สถาบันวิจัย AZURA’
อัครา และ กองทัพ ปรากฏตัวขึ้น !
“ธาร! ถึงเวลา ‘ปิดฉาก’ ทุกอย่าง แล้ว!”
‘สงครามครั้งสุดท้าย’... กำลังจะเริ่มต้นขึ้น !

..............................................
อัครา ในร่างที่เต็มไปด้วยพลังด้านมืด ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองธารอย่างอาฆาต
“แกมัน ‘ตัวขัดขวาง’!” เสียงทุ้มต่ำของอัครา กึกก้องไปทั่ว
“‘AZURA’ เป็นของข้า! ไม่มีใครหน้าไหน มาแย่งมันไปได้!”
พลังงานด้านมืด พุ่งเข้าใส่ ธาร ราวกับพายุคลั่ง แต่ธารกลับยืนนิ่ง ‘AZURA’ แผ่ ‘กำแพงพลัง’ ปกป้องเขาจากอันตราย
“ผมจะไม่ ‘ต่อสู้’ กับคุณ อัครา” ธาร กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
“‘AZURA’ ไม่ได้สอนให้ผม ‘ทำร้าย’ ใคร”
“ปากดีนักนะ!” อัครา คำราม ก่อนจะ สั่งสมุน คู่ใจ โจมตี ธาร
สมุนของอัครา ต่างก็ได้รับ ‘พลังด้านมืด’ จน ร่างกาย แข็งแกร่ง และ ดุร้าย ยิ่งกว่า สัตว์ป่า พวกมัน พุ่งเข้า โจมตีธาร อย่างบ้าคลั่ง
แต่ธาร กลับหลบหลีก การโจมตี ได้อย่าง คล่องแคล่ว ด้วย ‘สัมผัสพิเศษ’ ที่ ‘AZURA’ มอบให้ เขาสามารถ ‘คาดการณ์’ การเคลื่อนไหว ของศัตรู ได้ ล่วงหน้า
“แกมัน ‘ขี้ขลาด’ ธาร!” อัครา ตะโกน เยาะเย้ย
“มีดีแค่ ‘หลบ’ อย่างเดียว หรือไง!”
ธาร ไม่ตอบโต้ แต่ กลับ ใช้ ‘พลังแห่ง AZURA’ ‘รักษา’ บาดแผล ให้กับ สมุน ของ อัครา ที่ ได้รับบาดเจ็บ จากการต่อสู้
“พวกคุณ ‘ถูกหลอกใช้’ แล้ว” ธาร กล่าว ด้วย น้ำเสียง เห็นใจ
“อัครา ไม่ได้ ‘หวังดี’ กับพวกคุณ หรอก เขา แค่ ต้องการใช้พวกคุณ เป็น ‘เครื่องมือ’ เท่านั้น”
บางสิ่ง ใน แววตา ของ สมุน บางคน เริ่ม ‘สั่นคลอน’...

...........................................
คำพูดของธาร ราวกับ ‘แสงสว่าง’ ส่องไปยัง ‘ความมืด’ ในใจของ สมุน ของ อัครา
พวกเขาหลายคน เริ่ม ‘ตระหนัก’ ได้ว่า ถูก ‘หลอกใช้’ มาตลอด
“หัวหน้า... พวกเรา... ”
“หุบปาก! อย่าไปฟัง มัน!” อัครา ตวาด ด้วยความโกรธ
“พวกแก มัน ‘ทรยศ’ ข้า!”
พลังด้านมืด ปะทุ ออกจากร่างของ อัครา อย่าง รุนแรง
“ในเมื่อพวกแก เลือกที่จะ ‘ทรยศ’ ข้า!”
“งั้นก็ ‘ตาย’ ไปซะ!”
พลังงานด้านมืด พุ่งเข้า โจมตี สมุน ของตัวเอง อย่าง ไม่ปราณี !
“ไม่นะ!” ธาร ร้องห้าม แต่ก็สายเกินไป
“นี่หรือ... ‘ความทะเยอทะยาน’ ที่ ‘บิดเบือน’ จิตใจ ของมนุษย์...” อาจารย์ปรัชญา เอ่ย ด้วยความ สลดใจ
“อัครา... เจ้า ‘หลงทาง’ เกินกว่า จะ ‘หวนกลับ’ แล้ว”
ธาร กำหมัดแน่น ‘ความโกรธ’ เริ่ม ก่อตัวขึ้น ในใจ
“อัครา! แก มัน ‘ปีศาจ’ !”
“ใช่! ข้าคือ ‘ปีศาจ’!” อัครา หัวเราะ อย่าง บ้าคลั่ง
“และข้า จะเป็น ‘ผู้ครอบครอง’ โลกใบนี้!”
พลังด้านมืด มหาศาล รวมตัวกัน อยู่ บนท้องฟ้า
กลายเป็น ‘พายุ แห่ง ความมืด’ ที่ พร้อมจะ ‘ทำลายล้าง’ ทุกสิ่ง!
“ธาร! ถึงเวลา ที่เจ้าต้อง ‘เลือกว่า’ จะ ‘ปกป้อง’ หรือ ‘ทำลาย’ !” เสียง ของ ‘AZURA’ ดังก้อง ใน ใจ ของ ธาร
ธาร มองไป ยัง ‘ใยไหม’ ที่ ยืนอยู่ ไม่ไกล
สายตา ของเธอ เต็มไปด้วย ‘ความเชื่อมั่น’
ธาร สูดหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลง และ...
ปลดปล่อย...
‘พลังที่แท้จริง’... ของ ‘AZURA’ ออกมา!

...............................................
แสงสว่างสีฟ้าบริสุทธิ์ สาดประกายเจิดจ้าจากร่างของธาร แผ่ขยายออกไปทั่วท้องฟ้า ขับไล่ความมืดมิดที่อัคราสร้างขึ้นให้มลายหายไปในพริบตา พลังอันบริสุทธิ์ อ่อนโยน แต่ แข็งแกร่ง เกินกว่าที่ อัครา จะ ต้านทาน ได้
“นี่มัน... เป็นไปไม่ได้!” อัครา ร้องลั่น ด้วยความ หวาดกลัว เป็นครั้งแรก
ร่างของเขา ที่เต็มไปด้วย พลังด้านมืด เริ่ม สั่นไหว
‘ความรัก’ และ ‘ความเสียสละ’ ที่ ธาร ส่งผ่าน ‘AZURA’ ออกไป
กำลัง ‘ชำระล้าง’ ความมืดมิด ใน จิตใจ ของ อัครา…
ภาพ ในอดีต ของ อัครา ผุดขึ้นมาใน ห้วงความคิด
เขา เคยเป็น ‘แพทย์’ ที่ ‘อุทิศตน’ เพื่อ ช่วยเหลือ ผู้คน
เขา เคยมี ‘ความฝัน’ ที่ จะ สร้าง ‘โลกที่สวยงาม’
แต่... ‘ความทะเยอทะยาน’ กลับ ‘บิดเบือน’ จิตใจ ของเขา จน ‘หลงทาง’
“ข้า... ทำอะไรลงไป...”
น้ำตา ไหลริน ออกมาจาก ดวงตา ของ อัครา
เขา ‘สำนึกผิด’ แล้ว...
ธาร ยื่นมือออกไปหา อัครา
“ยังไม่สายเกินไป... ที่จะ ‘เริ่มต้นใหม่’”
อัครา มองมือของ ธาร สั่นเทา ด้วย ความ ลังเล
ก่อนจะ ค่อยๆ ยื่นมือ ออกไป ตอบรับ...
พลังด้านมืด สลายหายไป จนหมดสิ้น
ร่างของ อัครา กลับคืนสู่ สภาพเดิม เป็น ชายวัยกลางคน ธรรมดา
เขา ทรุดตัวลง คุกเข่า ต่อหน้า ธาร ด้วยความ สำนึกผิด
“ข้า... ขอโทษ...”
ธาร ส่ายหน้า “ทุกอย่าง ผ่านไปแล้ว...”
แสงสีฟ้า อบอุ่น แผ่ออกมาจาก ร่าง ของ ธาร โอบกอด อัครา ไว้
‘AZURA’ กำลัง ‘เยียวยา’ บาดแผล ใน จิตใจ ของเขา...
ในที่สุด ‘สงคราม’ ระหว่าง ‘ความมืด’ และ ‘แสงสว่าง’ ก็จบลง...
ด้วย ‘ชัยชนะ’ ของ ‘ความรัก’...
[ จบบริบูรณ์ ]
..................................
พลง อัศจรรย์แห่งรัก (AURA)
.
(เสียงผู้ชายร้อง)
ในความมืดมิด ยังมีแสงส่องมา
แม้กายอ่อนล้า แต่ใจยังศรัทธา
เพื่อคนรักษา แม้ต้องแลกด้วยลมปราณ
สัญญา...จะไม่หวั่น จะฝ่าฟันทุกเส้นทาง
.
(เสียงผู้หญิงร้อง)
อย่าเลยคนดี อย่าทำเพื่อฉันเลย
กลัวเหลือเกิน ถ้าเธอต้องเจ็บช้ำ
น้ำตา ที่รินหลั่ง ไม่อาจทานความรักเรา
ขอเพียง เคียงข้างกัน จนกว่าฟ้าดินสลาย
.
(ร้องประสานเสียง)
อัศจรรย์แห่งรัก พลังที่ยิ่งใหญ่
ส่องประกาย ในใจ ไม่จางหาย
'AZURA' คือ ความหวัง คือ รัก ที่ยิ่งใหญ่
แม้ตัวจะสลาย แต่หัวใจ ไม่ ยอมแพ้
.

ความมืด เข้าปกคลุม แต่ใจ ไม่ หวั่นไหว
พลังแห่งรัก จะนำทาง ให้ก้าวไป
(เสียงผู้หญิงร้อง)
เชื่อมั่น ในรักเรา สองใจ เป็นหนึ่งเดียว
'AZURA' จะอยู่ เคียงข้าง เรา เสมอ
(ดนตรี)
.
(ร้องประสานเสียง)
อัศจรรย์แห่งรัก พลังที่ยิ่งใหญ่
ส่องประกาย ในใจ ไม่จางหาย
'AZURA' คือ ความหวัง คือ รัก ที่ยิ่งใหญ่
แม้ตัวจะสลาย แต่หัวใจ ไม่ ยอมแพ้
.

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.) นิยาย อ่านฟรี โดยลุงแจ่ม

 ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)อีกหน่อยลุงจะสร้างหนังละ 555555

.
บทที่ 1 : ละอองดาวกับไร่องุ่นอลวน
.
แสงแดดยามเช้าส filtering ผ่านใบองุ่นเขียวขจี ทอดลงบนใบหน้าหวานซึ้งของ ‘ละอองดาว’ หญิงสาววัย 20 ปี ที่ท้องโตใกล้คลอดเต็มที
“เหนื่อยไหมดาว” เสียงทุ้มนุ่มของ ‘ภาคย์’ เจ้าของไร่องุ่นหนุ่มรูปงาม ดังขึ้นข้างๆ
ดาวสะดุ้งเล็กน้อย รีบหันไปยิ้มให้ภาคย์ “ไม่ค่ะคุณภาคย์ ดาวแค่รู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้นเท่านั้นเอง”
ภาคย์มองดาวด้วยสายตาเอ็นดู เขาแอบสงสารหญิงสาวที่ต้องมาแบกความลับเรื่องลูกในท้อง แต่ก็ชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอ
“ใกล้เที่ยงแล้ว พักทานข้าวก่อนเดี๋ยวดาวค่อยทำงานต่อ” ภาคย์เอ่ย พลางเดินนำไปยังโต๊ะไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่
บรรยากาศในไร่คึกคักเป็นพิเศษ เพราะนอกจากดาวแล้ว ยังมีเหล่าสาวๆ คนงานในไร่อีกหลายคนที่กำลังอุ้มท้องโย้ เดินไปมา สร้างความปวดหัวให้กับ ‘ป้ามาลี’ แม่บ้านวัย 50 ปี ไม่น้อย
“โอ้ยยย ป้าจะเป็นลม ท้องๆๆๆ ไปท้องกันตอนไหน ทำไมป้าไม่รู้เรื่อง!” ป้ามาลีบ่นอุบ พลางกุมขมับ
“ใจเย็นๆ ครับป้ามาลี เดี๋ยวผมช่วยเอง” เสียง ‘วายุ’ หนุ่มคนงานจอมกะล่อน ดังขึ้น ก่อนจะรีบวิ่งไปประคองป้ามาลี
“แกนี่ก็เหลือเกินนะวายุ เอาแต่แซวป้า” ป้ามาลีแม้จะบ่น แต่ก็แอบอมยิ้ม เพราะเอ็นดูวายุเหมือนลูกหลาน
ท่ามกลางบรรยากาศชุลมุน ‘แก้วตา’ อดีตคู่หมั้นสาวสวยของภาคย์ก็ปรากฏตัวขึ้น เธอเดินเชิดหน้าเข้ามาในไร่ พร้อมกับ.... ท้องที่โตไม่แพ้กัน!
“ภาคย์คะ คิดถึงจังเลยค่ะ” แก้วตาส่งเสียงหวาน พร้อมกับเดินเข้าไปคล้องแขนภาคย์
ภาคย์สะดุ้ง รีบแกะแขนออกอย่างสุภาพ “แก้วตา! มานี่ได้ยังไง”
“ก็มาหาภาคย์ไงคะ แล้วนี่...ใครกันคะ” แก้วตาหันไปมองดาว สายตากร้าวแฝงความริษยา
ดาวรู้สึกถึงรังสีบางอย่าง เธอได้แต่ก้มหน้า หลบสายตาของทุกคน
ความอลวนในไร่องุ่น เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 2 : เงาริษยาและความลับในไร่
.
สายตาของแก้วตาจ้องมองดาวราวกับจะเผาไหม้ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าภาคย์จะยอมให้ผู้หญิงท้องโตมาอยู่ที่ไร่ แถมยังดูแลใกล้ชิดอีกต่างหาก
“นี่ดาว คนงานใหม่ที่ไร่จ้ะ” ภาคย์ตอบ โดยไม่รู้ถึงสงครามประสาทของสองสาว
“คนงานเหรอ... ดูท่าทาง คงทำงานหนักไม่ไหวแล้วมั้ง” แก้วตาแสยะยิ้ม จงใจพูดจาดาว
“ฉันไหว!” ดาวเงยหน้าขึ้น ตอบเสียงแข็ง ในเมื่อเธอไม่เคยคิดแย่งใคร ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้ใครมาดูถูก
“ปากดีเหมือนกันนะยะ” แก้วตาทำท่าจะเข้าไปเอาเรื่องดาว แต่ภาคย์ขวางไว้เสียก่อน
“พอได้แล้วแก้วตา อย่ามาหาเรื่องดาว” ภาคย์ดึงแก้วตาออกมา ทำให้เธอไม่พอใจอย่างมาก
“ทำไมต้องเข้าข้างมันด้วยคะภาคย์! หรือว่า...เด็กในท้องนั่น...” แก้วตาหยุดพูด แต่สายตากลับจ้องไปที่ท้องของดาวอย่างมีเลศนรมณ์
“เด็กในท้องดาว ไม่เกี่ยวกับแก้วตา!” ภาคย์ตวาด ก่อนจะลากแก้วตาออกไป ปล่อยให้ดาวน่ำตาคลอ
วายุแอบมองเหตุการณ์มาตลอด รีบวิ่งเข้ามาดูดาว
“เป็นอะไรรึเปล่าดาว อย่าไปสนใจยัยคุณหนูนั่นเลย” วายุพูดปลอบใจ
ดาวส่ายหน้า ปาดนํ้าตา “ไม่เป็นไรหรอก ฉันชินแล้ว แต่ฉันแค่อยากรู้ว่า ทำไมทุกคนต้องมองฉันเป็นตัวประหลาด แค่ท้องก่อนแต่งงาน มันผิดมากนักหรือไง”
วายุถอนหายใจ เขารู้ดีว่าสังคมบ้านนอกยังมองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าดาวจะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้
“ไม่ผิดหรอกดาว เเละฉันเชื่อว่า...ยังไงซะ ลูกของแกต้องน่ารักมากแน่ๆ” วายุพูดให้กำลังใจ
ตกดึก ขณะที่ดาวกำลังเดินเล่นรับลมอยู่คนเดียว เธอก็เห็นเงาลึกลับเดินวนเวียนอยู่แถวบ้านพักคนงาน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องพักสำหรับเหล่าคุณแม่มือใหม่ไปแล้ว
“ใครน่ะ” ดาวร้องถาม แต่เงาคนนั้นกลับวิ่งหายไปในความมืด
ความสงสัยทำให้ดาวตัดสินใจสะกดรอยตามไป และพบว่าเงานั้นมุ่งหน้าไปที่โรงนาหลังไร่...
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 3: ความลับในโรงนา
.
ดาวแอบสะกดรอยตามเงาลึกลับไปจนถึงโรงนาเก่าๆ หลังไร่ ความอยากรู้มีมากกว่าความกลัว เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ หัวใจเต้นระทึกกับภาพเบื้องหน้า
ภายในโรงนา มีชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ยืนหันหลังอยู่ เขาสวมหมวกปิดบังใบหน้า กำลังพูดคุยกับใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
“งานเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากเงามืด
“เรียบร้อยครับนาย ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” ชายฉกรรจ์ตอบ
ดาวได้แต่แอบฟังอยู่หลังกองฟาง พยายามคิดว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคุ้นๆ หรือไม่ แต่ก็ไม่สามารถคาดเดาได้
“ดี แล้วเรื่องผู้หญิงพวกนั้น...”
“ไม่ต้องห่วงครับนาย พวกนั้นไม่มีทางรู้เรื่องอะไรแน่”
“ดีมาก! ถ้าเรื่องนี้แดงขึ้นมา แกตายแน่!”
สิ้นเสียงข่มขู่ เงาลึกลับก็เดินออกไปจากโรงนา ดาวรีบหมอบลง หลบหลังกองฟางอย่างหวาดกลัว ใจหนึ่งก็สงสัยว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร และทำไมต้องพูดกันแบบลับๆ ล่อๆ
ดาวรอจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้ว จึงค่อยๆ เดินออกมาจากโรงนา เธอตัดสินใจเก็บเรื่องที่ได้ยินไว้เป็นความลับ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องที่พวกนั้นคุยกัน เกี่ยวข้องกับการที่สาวๆ ในไร่ตั้งท้องกันถ้วนหน้าหรือไม่
ขณะที่ดาวกำลังครุ่นคิด วายุก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหา
“ดาว! ดาวอยู่ไหน!” วายุตะโกนเรียก
“มีอะไรเหรอวายุ ทำไมต้องตะโกน” ดาวถาม
“ป้ามาลี...ป้ามาลีปวดท้อง เหมือนจะคลอด!”
ดาวตกใจ รีบวิ่งตามวายุไปที่บ้านพักคนงานทันที
สถานการณ์วุ่นวาย ปนอลหม่านเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อป้ามาลีใกล้คลอด แต่รถพยาบาลยังมาไม่ถึงเสียที!
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 4 : วิกฤตคลอดฉุกเฉิน
.
เสียงร้องครวญครางของป้ามาลีดังลั่นบ้านพักคนงาน สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคน โดยเฉพาะดาวที่กำลังใจคอไม่ดี กลัวว่าตัวเองจะเจ็บท้องคลอดขึ้นมาอีกคน
"โอ้ยยย! ปวดท้องเหลือเกิน ใครก็ได้ช่วยป้าที!" ป้ามาลีร้องโอดโอย เหงื่อไหลท่วมตัว
"ใจเย็นๆ นะป้ามาลี รถพยาบาลกำลังมา" ดาวพยายามปลอบ พลางใช้ผ้าชุบนํ้าเช็ดหน้าผากให้ป้ามาลี
"ไม่ทันแล้วดาว ป้าว่าป้าจะคลอดแล้ว!"
วายุวิ่งพล่าน โทรตามรถพยาบาลเป็นรอบที่สิบ แต่ก็ยังไม่มีวี่แวว สัญญาณโทรศัพท์ที่ไร่มันอ่อนแรงเหลือเกิน
"โทรติดสักทีเถอะ!" วายุสบถอย่างหัวเสีย
"วายุ! เลิกโทรได้แล้ว มาช่วยป้ามาลีก่อน ดูเหมือนเด็กจะคลอดแล้ว!" ดาวร้องบอก ใบหน้าซีดเผือด มือไม้เริ่มสั่น
วายุเห็นท่าไม่ดี จึงตัดสินใจวิ่งไปตามคนงานคนอื่นๆ ส่วนดาวกับเหล่าคุณแม่มือใหม่ ช่วยกันเตรียมผ้าสะอาด และอุปกรณ์เท่าที่จะหาได้ เ เตรียมทำคลอดฉุกเฉินให้ป้ามาลี!
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เสียงร้องของป้ามาลีดังขึ้นเรื่อยๆ ดาวพยายามตั้งสติ นึกถึงตอนที่ตัวเองคลอดลูก เพื่อที่จะช่วยป้ามาลีให้คลอดอย่างปลอดภัย
"ป้ามาลี เบ่งค่ะ เบ่งอีกที!"
ในที่สุด เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยก็ดังก้อง เป็นสัญญาณว่าการคลอดผ่านพ้นไปด้วยดี ป้ามาลีคลอดลูกชาย ผิวพรรณผุดผ่อง แข็งแรงสมบูรณ์
"โฮๆๆๆ"
ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ต่างก็ยิ้ม ทั้งนํ้าตา ดีใจที่ทั้งแม่และลูกปลอดภัย
ท่ามกลางความชุลมุน ไม่มีใครสังเกตเห็นเเ ก้วตาที่ยืนซ่อนอยู่มุมห้อง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและอิจฉาริษยา...
"ทำไม! ทำไมพวกนั้นถึงได้มีความสุขกันนัก! " แก้วตากัดฟันกรอด กำมือแน่น "ไม่ว่ายังไง ฉันต้องได้ภาคย์กลับมาเป็นของฉันคนเดียว!"
ความรัก ความลับ และความแค้น กำลังก่อตัวขึ้นท่ามกลางไร่องุ่นที่แสนจะอลวนแห่งนี้...
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 5 : เกมร้าย กลับสู่เกมรัก
.
ข่าวป้ามาลีคลอดลูกชาย แข็งแรงสมบูรณ์ แพร่สะพัดไปทั่วไร่องุ่นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสีสันและความประหลาดใจของทุกคน เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า ป้ามาลีวัย 50 ปี จะตั้งท้องได้
"ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าป้ามาลีจะ..."
"นั่นสิ แล้วใครกันนะ พ่อของเด็ก"
เสียงซุบซิบดังไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามป้ามาลีตรงๆ ภาคย์เองก็แปลกใจไม่น้อย แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร เพียงแค่แสดงความยินดีกับป้ามาลีเท่านั้น
ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย แก้วตากลับร้อนใจอย่างหนัก เธอเห็นภาพภาคย์คออุ้มทารกน้อยในอ้อมแขน สายตาที่ภาคย์มองเด็กน้อย มันเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู แบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
'ไม่ ไม่ได้ ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง' แก้วตาคิดในใจ แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
ในขณะที่ดาวกำลังป้อนข้าวต้มให้ป้ามาลี แก้วตาก็เดินเข้ามาหา พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเสแสร้ง
"หายดีแล้วเหรอคะ ป้ามาลี" แก้วตาถาม เสียงหวาน
ป้ามาลีมองแก้วตาอย่างงุนงง ไม่ค่อยจะชอบใจนัก กับท่าทางที่ดูเป็นมิตรเกินไป
"อืม ดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจนะ" ป้ามาลีตอบ เสียงเรียบเฉย
"ดาว ฉันขอยืมตัวป้ามาลีคุยด้วยหน่อยสิ ได้ไหมคะ" แก้วตาหันไปขออนุญาตดาว แต่สายตากลับจ้องมองด้วยความท้าทาย
ดาวรู้สึกถึงความไม่ประสงค์ดี แต่ก็ไม่อยากมีปัญหา จึงตอบตกลง "ค่ะ"
แก้วตารีบพยุงป้ามาลีออกไปคุยกันสองคนทันที ทิ้งให้ดาวนั่งคิด อย่างไม่สบายใจ เธอรู้สึกได้ว่า แก้วตากำลังวางแผนร้ายอะไรบางอย่าง และมันอาจจะเกี่ยวข้องกับป้ามาลี และความลับในไร่องุ่นแห่งนี้!
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 6: แผนร้ายเริ่มต้นขึ้น
.
แก้วตาพยุงป้ามาลีมาถึงศาลาหลังบ้านพัก บรรยากาศเงียบสงัด ต่างจากความวุ่นวายในไร่ เธอหันไปมองป้ามาลี แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
"ว่ายังไงคะป้ามาลี สบายดีไหมคะ" แก้วตาเอ่ย น้ำเสียงประชดประชัน
ป้ามาลีขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนไปของแก้วตา "ก็ดี แล้วแกมีธุระอะไรกับป้า ทำไมต้องลากป้ามาถึงนี่ด้วย"
"ก็แค่อยากจะมาเตือนสติป้า อย่าลืมว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร"
"แกหมายความว่าไง!"
"ก็ป้าเป็นแค่คนรับใช้ อย่าริอาจไปฝันสูง คิดจะจับผู้ชายรวยๆ อย่างคุณภาคย์" แก้วตาพูด เสียงเหี้ยมเกรียม
ป้ามาลีโกรธจนตัวสั่น "แก! นี่แกคิดว่าป้า...."
"คิดว่าป้าจงใจท้องกับคุณภาคย์ เพื่อหวังจะได้เป็นคุณนายของไร่นี้ ใช่ไหมล่ะ!" แก้วตาพูดแทรก เสียงดัง "อย่าลืมนะป้า ว่าฉันเห็น ตอนที่ป้าแอบเข้าไปในห้องคุณภาคย์ ตอนดึกๆ"
ป้ามาลีเบิกตากว้าง ตกใจกับคำกล่าวหา "ไม่จริง! ป้าไม่เคยทำแบบนั้น"
"อย่ามาโกหกเลยป้า ฉันเห็นกับตา! ถ้าป้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูคุณภาคย์ ก็เลิกยุ่งกับเขาซะ!" แก้วตาขู่ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ป้ามาลียืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อ
ความจริงแล้ว คืนนั้นป้ามาลีแค่เอาขนมไปให้ภาคย์ ที่ทำงานจนดึก แต่ดันลืมมือถือไว้ เลยต้องย้อนกลับไปเอา ดันไปเข้าทางแก้วตา ที่คอยจับผิดอยู่แล้ว
ป้ามาลีไม่คาดคิดว่า แก้วตาจะใช้เรื่องนี้มาใส่ร้าย เธอไม่กล้าบอกความจริงกับใคร เพราะกลัวว่าจะทำให้ภาคย์เดือดร้อน
"แล้วแบบนี้ ป้าจะทำยังไงดี" ป้ามาลีพึมพำกับตัวเอง หัวใจหนักอึ้ง ด้วยความกังวล
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 7: ความจริงใจ และแผนเปิดโปง
.
ป้ามาลีเดินกลับบ้านพัก ใบหน้าหมองคล้ำ เต็มไปด้วยความกังวล ดาวสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงรีบเข้าไปถาม
"ป้ามาลี เป็นอะไรไปคะ หน้าดูไม่ดีเลย"
ป้ามาลี ลังเลใจ ไม่อยากเล่าเรื่องที่แก้วตาใส่ร้าย เพราะกลัวว่าจะเป็นการสร้างความแตกแยก
“ป้าเปล่า แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย”
ดาวไม่เชื่อ แต่ก็ไม่เซ้าซี้ เธอมองตามป้ามาลีด้วยแววตาเป็นห่วง
ตกดึก ดาวตัดสินใจเล่าเรื่องที่แก้วตาพาป้ามาลีไปคุยด้วย ให้ภาคย์ฟัง
"ดาวว่า คุณแก้วตาต้องคิดอะไรไม่ดีแน่ๆ คุณภาคย์ ช่วยไปดูป้ามาลีหน่อยได้ไหมคะ ดาวเป็นห่วง"
ภาคย์ขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่าแก้วตามีนิสัยเอาแต่ใจ และอาจจะหาเรื่องป้ามาลี เพราะความริษยา
"ไม่ต้องห่วงดาว เดี๋ยวผมจัดการเอง"
ภาคย์เดินตรงไปหาป้ามาลีที่ห้อง พร้อมกับเคาะประตูเบาๆ
"ป้ามาลี ผมภาคย์ครับ เปิดประตูหน่อย"
ป้ามาลี สะดุ้งตกใจ รีบเปิดประตู "คุณภาคย์ มีอะไรหรือคะ"
"ผมได้ยินมาว่า แก้วตาคุยอะไรบางอย่างกับป้า จริงหรือเปล่า"
ป้ามาลี อึกอัก ลังเลใจว่าควรจะบอกภาคย์ดีไหม
"ป้า... ป้า..."
"ไม่ต้องกลัวนะครับป้า เล่าให้ผมฟังได้ ผมจะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ หรอก"
ในที่สุด ป้ามาลีก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่แก้วตาใส่ร้าย ให้ภาคย์ฟัง
ภาคย์ฟังอย่างตั้งใจ และรู้สึกเห็นใจป้ามาลี ที่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ เขารู้ดีว่า แก้วตาทำไปเพราะหึง และต้องการกำจัดทุกคนที่เข้าใกล้เขา
"ป้ามาลี สบายใจได้ครับ ผมเชื่อใจป้า แล้วผมจะจัดการเรื่องนี้เอง"
ภาคย์ลุกขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาจะไม่ปล่อยให้แก้วตามาก่อกวนชีวิตของเขา และคนรอบข้างอีกต่อไป! ถึงเวลาที่เขาต้องเปิดโปง แผนร้ายของอดีตคู่หมั้น ที่แฝงมาด้วยรอยยิ้มนี้เสียที!
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 8: กับดัก และ น้ำตาจอมปลอม
.
ภาคย์รู้ดีว่าการจะเปิดโปงแผนร้ายของแก้วตา ต้องใช้ไหวพริบ เขาจึงวางแผนร่วมกับดาว โดยให้ดาวเป็นเหยื่อล่อ
“ดาว ผมขอให้คุณช่วยผมอย่างหนึ่ง” ภาคย์เอ่ยกับดาว
ดาวแปลกใจ แต่ก็เต็มใจช่วย “ได้ค่ะ มีอะไรให้ดาวช่วย บอกมาได้เลย”
“คือแบบนี้...”
เช้าวันต่อมา ภาคย์แกล้งทำเป็นห่างเหินกับดาว และทำตัวสนิทสนมกับแก้วตา ให้ทุกคนในไร่เห็น จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์
“เห็นไหมล่ะ คุณภาคย์กับคุณดาวคงเลิกกันแล้วจริงๆ”
“นั่นสิ สงสัยคุณภาคย์คงจะกลับไปคืนดีกับคุณแก้วตา”
“แล้วแบบนี้ คุณดาวจะอยู่อย่างไรล่ะ ท้องก็ใกล้คลอดแล้วด้วย”
เสียงซุบซิบนินทาดังไปทั่วไร่ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ทั้งหมดเป็นเพียงการแสดง!
ดาวรู้สึกอึดอัดใจ ที่ต้องมาทนเห็นภาคย์ทำดีกับแก้วตา แต่เพื่อความยุติธรรม เธอต้องอดทน
ตกดึก ภาคย์แกล้งชวนแก้วตาไปเดินเล่นที่ริมสระน้ำ ซึ่งเป็นจุดที่ดาวซ่อนตัวอยู่ พร้อมกับเครื่องบันทึกเสียง
“แก้วตา ผมว่าเรา...” ภาคย์ทำท่าทางลังเล
“มีอะไรคะภาคย์” แก้วตาถาม หัวใจเต้นแรง คิดว่าภาคย์จะขอคืนดี
“ผมว่า... เราเลิกยุ่งกับป้ามาลีเถอะครับ ผมรู้ว่าป้าไม่ได้ตั้งใจ”
“อะไรนะคะ! ภาคย์จะปกป้องยัยแก่ๆ คนนั้น ทำไม!” แก้วตาโมโห เสียงดัง
“ผมขอร้อง เลิกทำแบบนี้เถอะ ผมสงสารป้ามาลี”
“ไม่! ฉันไม่ยอม! ฉันจะบอกความจริงกับทุกคน ว่าป้ายัยนั่น มันแอบ...”
เสียงของแก้วตาขาดหายไป เมื่อรู้ตัวว่า ติดกับภาคย์เข้าแล้ว! ดาวปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับเครื่องบันทึกเสียงในมือ
“นี่ไง หลักฐานความร้ายกาจ ของ คุณแก้วตา”
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 9: เปิดโปง และ คำขอโทษที่ไม่มีวันจบ
.
แก้วตาหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นดาวและเครื่องบันทึกเสียงในมือ เธอรู้ทันทีว่าตัวเองพลาดท่า ตกหลุมพรางที่ภาคย์และดาววางไว้
"ภาคย์ ฟังฉันอธิบายก่อน เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่คิด" แก้วตารีบแก้ตัว เสียงสั่น
ภาคย์มองแก้วตา แววตาที่เคยอ่อนโยน เปลี่ยนเป็นเย็นชา "ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแก้วตา ผมได้ยินกับหูตัวเอง ว่าคุณคิดยังไงกับป้ามาลี"
"ภาคย์..."
"ผมผิดหวังในตัวคุณมาก แก้วตา ที่ผ่านมา ผมพยายามมองข้ามเรื่องร้ายๆ ที่คุณทำ เพราะคิดว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่ผมคิดผิด"
แก้วตาน้ำตาคลอ ไม่ใช่เพราะสำนึกผิด แต่เป็นเพราะความโกรธ และเสียใจ ที่ไม่สามารถเอาชนะดาวได้
"มันไม่ยุติธรรมเลย! ทำไมภาคย์ถึงเข้าข้างยัยผู้หญิงคนนั้น ทั้งๆ ที่เธอมันก็แค่..."
"แค่ อะไร!" ภาคย์ตวาด เสียงดังลั่น "แค่ผู้หญิงที่กำลังท้อง ใช่ไหม! แล้วมันผิดมากนักหรือไง ที่เธอจะได้รับความช่วยเหลือ ได้รับความเห็นใจ บ้าง!"
แก้วตาสะดุ้ง ไม่เคยเห็นภาคย์โมโห ถึงขนาดนี้มาก่อน เธอรู้ตัวแล้วว่า ตัวเองไม่มีทางชนะใจภาคย์ได้อีกต่อไป
"ฉันขอโทษ... ฉันมันผิดเอง" แก้วตาร้องไห้ ทำท่าทางสำนึกผิด
ภาคย์ถอนหายใจ "สายเกินไปแล้วแก้วตา ความอดทนของผมมีขีดจำกัด"
ภาคย์หันหลัง เดินกลับไปหาดาว ทิ้งให้แก้วตาร้องไห้ อยู่คนเดียว ด้วยความเจ็บใจ และพ่ายแพ้...
แม้แก้วตาจะจากไปแล้ว แต่เรื่องราวในไร่องุ่น ยังไม่จบลงง่ายๆ...
.
ละอองดาว (ท้อง..หมดเลย ver.)
บทที่ 10: ความจริงปรากฏ และ ความรักใต้แสงดาว
.
หลังจากแก้วตาจากไป ชีวิตในไร่องุ่นก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ป้ามาลีพ้นจากข้อกล่าวหา และได้รับการยอมรับจากทุกคน ส่วนดาวก็ใกล้จะคลอดเต็มที
แต่ความลับในโรงนา ที่ดาวแอบได้ยิน ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เธอตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้ภาคย์ฟัง
“ดาวได้ยินพวกนั้นพูดกัน เหมือนกับว่า การที่สาวๆ ในไร่ท้อง เป็นแผนการร้ายอะไรสักอย่าง”
ภาคย์ขมวดคิ้ว เรื่องนี้ มัน ซับซ้อนกว่าที่คิด
"ผมจะสืบเรื่องนี้ให้เอง ดาวไม่ต้องกังวล"
ภาคย์เริ่มต้นสืบหาความจริง โดยเริ่มจาก ชายฉกรรจ์ ที่อยู่ในโรงนาคืนนั้น เขาใช้เวลาไม่นาน ก็สืบจนรู้ว่า ชายคนนั้นเป็นนักเลงท้องถิ่น รับจ้างเก็บเงินกู้ และมักจะใช้เล่ห์กล หลอกลวงหญิงสาว เพื่อบังคับขู่เข็ญ
ภาคย์ไปหาชายคนนั้น พร้อมกับหลักฐาน ที่ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้
"จะบอกมาดีๆ หรือจะให้ผมส่งตำรวจไป”
ในที่สุด ความจริง ก็ถูกเปิดเผย!
ชายคนนั้นสารภาพว่า เขาได้รับคำสั่ง จาก ‘อดีตคนงานไร่’ คนหนึ่ง ที่ถูกไล่ออก เพราะขโมยเงิน ให้วางยา ใส่ในนํ้าดื่มของสาวๆ ในไร่ เพื่อแก้แค้น ที่ภาคย์ไม่ยอมช่วยเหลือ ตอนที่เขาเดือดร้อน
ส่วนสาเหตุที่สาวๆ ตั้งท้อง เป็นเพราะ ยาที่ถูกใส่ลงไป มันมีส่วนผสมของสมุนไพร ที่ทำให้ มีโอกาส ตั้งครรภ์ สูงขึ้น แม้จะไม่ได้ตั้งใจ
ภาคย์โกรธมาก ที่อดีตลูกน้อง คิดร้ายกับเขา และคนในไร่ ถึงขนาดนี้ เขาตัดสินใจมอบหลักฐาน ทั้งหมด ให้ตำรวจ เพื่อดำเนินคดี ตามกฎหมาย
หลังจากเรื่องราววุ่นวาย ผ่านพ้นไป ดาวก็คลอดลูก เป็น 'ลูกสาว' น่ารัก แข็งแรง ภาคย์ดีใจมาก คอยช่วยดูแล ทั้งแม่ และ เด็ก อย่างใกล้ชิด
ภายใต้ ท้องฟ้า ที่เต็มไปด้วยดวงดาว ภาคย์คุกเข่า ลงตรงหน้าดาว ที่อุ้มลูกน้อย อยู่ในอ้อมแขน
"แต่งงานกับผมนะ ดาว"
ดวงตาของดาว เปล่งประกาย ด้วยความสุข
"ตกลงค่ะ" เธอตอบ เสียงสั่น
เสียงปรบมือแสดงความยินดีดังขึ้น จากเหล่าคนงานในไร่ ที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน ความรัก ของทั้งคู่
แม้ ชีวิต ของ ละอองดาว จะเคยพบเจอ เรื่องราวร้ายๆ แต่สุดท้าย เธอก็ได้พบเจอกับ ความรัก ที่แสนบริสุทธิ์ และ ชีวิต ที่มีแต่ความสุข ตลอดไป...
.
จบบริบูรณ์
..............................................
ละอองดาวแห่งรัก (เพลงเปิดเรื่อง)
.
(ท่อน 1)
ท้องฟ้ากว้าง มองสุดทาง ไกลแสนไกล
ฝันเล็กๆ ของหัวใจ อยากมีใคร เคียงข้างกาย
ชีวิต ที่ผ่านมา พบเจอ แต่ความหมองหม่น
เหมือนดั่ง ละออง ล่องลอย ไร้จุดหมาย
.
(ท่อน 2)
จนวันหนึ่ง แสงสว่าง ส่องลงมา
อุ่นไอ ดวงใจ ความรัก ที่ตามหา
แม้จะ เหน็บหนาว เพียงใด ไม่หวั่นเกรง
ขอเพียง เคียงข้าง กันไป ตลอดทาง
.
(ท่อนฮุค)
ละอองดาว ล่องลอย บนฟากฟ้า แม้เหน็บหนาว ไม่ท้อ ขอเพียงเธอ
เคียงข้างกัน ฝันร่วมกัน วันเวลา ที่สวยงาม เราร่วมสร้าง เรื่อยไป
ละอองดาว จะไม่เหงา อีกต่อไป เพราะหัวใจ มีรัก นำทาง
มั่นคง กว่าสิ่งใด รักแท้ จะอยู่ เคียงข้างกัน ตลอดกาล


..
..
.....................................................
เงาใจ (เพลงประกอบตัวละคร ภาคย์)
(ดนตรีเริ่ม)
Intro: กีตาร์โปร่ง เล่นคอร์ดเศร้าๆ เบส กลอง ค่อยๆ เริ่ม
(ท่อน 1)
ฟ้าครึ้ม ฝนโปรย สายลม พัดมา แผ่วเบา
เหมือนดัง เรื่องราว ในใจ ที่ยัง ปวดร้าว
ภาพเธอ คนนั้น ยังวน เวียน ไม่ลบเลือน
ความหลัง ที่แสน หวาน กลับกลาย เป็น แค่ เงา
(ดนตรี)
หนักแน่นขึ้น กีตาร์ไฟฟ้า เริ่มเล่น Solo สั้นๆ
(ท่อน 2)
อยากจะ ลืม เรื่องราว ที่ ทำร้าย ใจ
แต่ยิ่ง พยายาม เท่าไร กลับยิ่ง ทรมาน
หัวใจ ที่เคย แข็งแกร่ง กลับ อ่อนแอ ลงทุกที
เมื่อ ความรัก ที่ ให้ไป ไม่เคย มี ค่า อะไร
(ดนตรี)
ดุดันขึ้น กลอง เบส หนักแน่น
(ท่อนฮุค)
หัวใจ ที่มันเหนื่อย กับความรัก ที่ไม่จริง
ต้องทน ต้องฝืน แค่ไหน จึงพอ
แม้เงา ของความหลัง ยังตามมา หลอกหลอน
แต่ฉัน จะสู้ เพื่อเธอ ตลอดไป
(ดนตรี)
กีตาร์ไฟฟ้า เล่น Solo แสดงความสับสน เจ็บปวด
(ท่อน 3)
ต่อจากนี้ จะขอ ใช้ชีวิต ที่เหลืออยู่
ปกป้อง ดูแล หัวใจ ที่ฉัน รัก และ ห่วงใย
แม้จะ เจ็บปวด สักเท่าไร ฉัน จะทน
ขอแค่ เพียง เธอ ปลอดภัย ฉัน ยอม ทุกอย่าง
(ดนตรี)
เบาลง เน้น กีตาร์โปร่ง เปียโน เสียงร้อง สื่ออารมณ์ ปล่อยวาง
(Outro)
กีตาร์ ค่อยๆ เฟด จบเพลง
ดูข้อมูลเชิงลึก
โปรโมทโพสต์
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์